สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 18 ม.ค. ว่า ติ๊กต็อกออกแถลงการณ์ ว่าจะยุติให้บริหารในสหรัฐ ตั้งแต่วันที่ 19 ม.ค. นี้ หากรัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน “ไม่สามารถให้เหตุผลที่น่าพึงพอใจ” กับผู้ใช้งานทั้ง 170 ล้านคนในประเทศ ว่ากฎหมายแบนติ๊กต็อกที่กำลังจะมีผลบังคับใช้นั้น “ไม่ใช่การลงโทษผู้ให้บริการ”
ขณะเดียวกัน ติ๊กต็อกวิจารณ์ทั้งทำเนียบขาวและกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ว่าไม่สามารถให้ความกระจ่างแก่ผู้ให้บริการ ในการที่จะยังคงให้บริการแก่ลูกค้าในอเมริกาต่อไป
TikTok said it will be forced to “go dark” in the US on Jan. 19 unless there is a clear statement from the Biden administration to service providers that are maintaining its availability https://t.co/Ft68z5TeQf
— Bloomberg (@business) January 18, 2025
การประกาศดังกล่าวของติ๊กต็อกเกิดขึ้น หลังศาลฎีกาของสหรัฐมีมติเป็นเอกฉันท์ ว่ากฎหมาย “ปกป้องชาวอเมริกันจากศัตรูต่างชาติซึ่งควบคุมแอปพลิเคชัน” ที่เรียกกันว่า “กฎหมายแบนติ๊กต็อก” ซึ่งประธานาธิบดีโจ ไบเดน ลงนามรับรอง เมื่อเดือน เม.ย. 2567 ไม่ได้ละเมิดสิทธิของการพูดอย่างเสรี และศาลเห็นพ้องกับรัฐบาล และสภาคองเกรส ในประเด็นความมั่นคงของชาติ จากการที่บริษัทไบต์แดนซ์ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงปักกิ่งของจีน เป็นเจ้าของติ๊กต็อก
คำพิพากษาของศาลสูงสุดสหรัฐ ยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับติ๊กต็อก จากการที่กฎหมายดังกล่าวระบุว่า ไบต์แดนซ์ต้องขายกิจการของติ๊กต็อกในสหรัฐ ภายในวันที่ 19 ม.ค. มิเช่นนั้น แอปพลิเคชันจะไม่สามารถเข้าถึงได้ในสหรัฐอีกต่อไป หรืออีกทางเลือกหนึ่ง คือการที่ไบต์แดนซ์ต้องยุติให้บริการติ๊กต็อกในสหรัฐ
ต่อมากระทรวงยุติธรรมสหรัฐออกแถลงการณ์ ว่าการบังคับใช้กฎหมาย “เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา” ส่งสัญญาณว่า กฎหมายจะยังคงไม่มีผลบังคับใช้ทันที สอดคล้องกับรายงานของสื่อท้องถิ่นหลายแห่ง ซึ่งอ้างแหล่งข่าวว่า ไบเดนจะให้การตัดสินใจเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะรับตำแหน่งผู้นำสหรัฐ ในวันที่ 20 ม.ค. นี้
ด้านทรัมป์กล่าวว่า มติของศาลฎีกา “ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย” และขอให้ทุกฝ่ายยอมรับ พร้อมทั้งเตือนทุกฝ่ายว่า “การหาทางเลือก” ให้กับติ๊กต็อก เป็นเรื่องที่ตัวเขาและทีมงาน “ต้องใช้เวลาอีกสักระยะ”
อนึ่ง นายโจว โซ่ว จือ ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของติ๊กต็อก จะเข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งผู้นำสหรัฐของทรัมป์ ในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ด้วย.
เครดิตภาพ : AFP