จากกรณีบนโลกโซเชียลออนไลน์ ได้แชร์ภาพของหนุ่มขับรถรับส่งสัตว์พิเศษรายหนึ่ง ที่ได้ถ่ายภาพตัวเองพร้อมกับลูกสิงโตอยู่ภายในรถ โดยครั้งนี้เจ้าของได้ว่าจ้างให้มารับ ซึ่งในภาพนั้นจะมองเห็นว่า ลูกสิงโตอยู่ในรถอย่างอิสระ จึงสร้างความเอ็นดูให้ชาวเน็ตกันเป็นจำนวนมาก แต่ล่าสุดกลับพบว่าโพสต์ดังกล่าวถูกลบไปจากเฟซบุ๊กชายรายนี้แล้ว ตามที่ข่าวเสนอไปก่อนหน้านี้
นิ่งเหมือนหมา..ไม่กัดแน่นะวิ! ‘หนุ่ม’ ขับรถส่ง ‘ลูกสิงโต’ ปีนเบาะนั่งตักวุ่น

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 68 มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ซึ่งเป็นสุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006 และผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ โดยเป็นผู้ดูแลกลุ่ม “นี่คือตัวอะไร” ได้โพสต์ข้อความให้ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงสิงโตในประเทศไทย ต้องมีการใส่กรงให้ถูกต้องตามวิธีขนส่งสัตว์ป่า พร้อมแนะการปล่อยสิงโตเพ่นพ่าน ผิดหลักเคลื่อนย้ายสัตว์ป่าอีกด้วย

โดยเจ้าของโพสต์ ระบุข้อความว่า “จากกรณีเรื่องของลูกสิงโตกับคนขับรถส่งสิงโตไปยังลูกค้า ทำให้เกิดเรื่องที่หลายคนสงสัยกันว่า สิงโตเลี้ยงได้หรือไม่ และขับรถลักษณะนี้แล้วมีสิงโตเดินเพ่นพ่านมันถูกต้องหรือไม่ ในฐานะที่ชอบคลุกคลีกับสัตว์สวนสัตว์ เลยอยากจะมาเล่าแบ่งปันความรู้เรื่องนี้กัน พร้อมกับประสบการณ์ตรงที่แอดบิวเจอมากับตัวจนเป็นข้อมูลมาว่า คนที่จะเลี้ยงสิงโตจริงๆ ยังขาดข้อมูลที่ถูกต้องไปเยอะมาก”

อีกทั้ง ผู้โพสต์ยังระบุข้อความอีกว่า “สิงโตสามารถเลี้ยงในประเทศไทยได้ แต่การจะเลี้ยงสิงโตจริงๆ ต้องมีใบอนุญาตครอบครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2567 ซึ่งในปัจจุบันมีฟาร์มสิงโตหลายแห่งเกิดขึ้นมาในประเทศไทย และเพาะพันธุ์สิงโตขึ้นเพื่อเป็นสัตว์สวนสัตว์และ “Exotic pet” ส่งให้กับผู้เลี้ยงที่มีกำลังทรัพย์และความพร้อมในเรื่องสถานที่กับสุขอนามัยที่ดี”

นอกจากนี้ “การเลี้ยงสิงโตจริงๆ แล้ว ก่อนผู้เลี้ยงจะรับสิงโตมาอยู่ในบ้าน ต้องจดแจ้งให้ทางกรมอุทยานฯ เพื่อระบุตัวตนด้วยไมโครชิพที่ระบุรหัสประจำตัวให้ตรงกับตัวสิงโต และให้ “CITES” อนุสัญญาการค้าสัตว์ป่าและพรรณพืชระหว่างประเทศ มาลงพื้นที่สำรวจที่เลี้ยงก่อนที่จะนำสิงโตมาอยู่อาศัยกับเจ้าของ ว่ากว้างพอหรือไม่ ไกลจากชุมชนแค่ไหน และกรงมาตรฐานดีมั้ย หากพื้นที่เลี้ยงไม่ผ่านเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่ง ก็ไม่สามารถนำสิงโตมาอยู่ในบ้านได้”

อีกทั้ง “ด้วยช่องโหว่งของ “CITES” ที่ทำให้สิงโตอยู่ในอนุสัญญาบัญชี 2 ที่สามารถนำเข้ามาได้โดยมีใบนำเข้าส่งออกถูกต้องได้ เนื่องด้วยสถานภาพของสิงโตไม่เหมือนแมวใหญ่อย่างเสือโคร่งและชีตาห์ที่อยู่บัญชี 1 ที่สุ่มเสี่ยงต่อการใกล้สูญพันธุ์ และต้องเป็นสวนสัตว์สาธารณะและหน่วยงานวิจัยนำเข้าได้เท่านั้น เลยทำให้สิงโตสามารถนำเข้ามาเพาะขยายพันธุ์ได้”

นอกจากนี้ “สัตว์ป่าควบคุม” เป็นประเภทของสัตว์ป่าในอนุสัญญา “CITES” จำนวน 67 ชนิดในพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2567 ที่สามารถครอบครองได้ด้วยการจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งสิงโตก็เป็นหนึ่งในสัตว์ป่าควบคุมร่วมกับเสือชีตาห์ และเสือจากัวร์ที่เป็นสัตว์ตระกูลแมวอีกพวกที่อยู่ในรายการด้วย ซึ่งกรณีสิงโตนั้นเป็นสัตว์ป่าควบคุมประเภท ก. หรือสัตว์ป่าดุร้ายอันตรายที่ทางกรมอุทยานฯ และ “CITES” เข้มงวดเอามากๆ เรื่องการนำเข้าและการครอบครองนั่นเอง”

ต่อมา “ในเดือนมีนาคมปี 2023 ที่ผ่านมา มีสิงโตจดทะเบียนไปแล้วร่วมเกือบ 200 กว่าตัว ถือว่าเป็นสัตว์ป่าควบคุมประเภท ก. ที่มีคนจดทะเบียนมากที่สุด สำหรับบทลงโทษกรณีไม่แจ้งการครอบครองนั้น ระเบียบนี้ระบุว่า ผู้ที่กระทำผิดจะต้องมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

อีกทั้ง “ปัญหาของการเลี้ยงสิงโตในประเทศไทยนั้น ในประเทศไทยนั้นมีปัญหาการเลี้ยงสิงโตหลักๆ หลายอย่าง ทั้งเรื่องข้อมูล สภาพอากาศ และโรคภัยไข้เจ็บ จากที่แอดบิวเจอมา สิงโตที่ไม่ใช่ในสวนสัตว์ มีปัญหาภาวะเลือดชิดจากพ่อแม่ในฟาร์มต้นทางที่นำเข้ามา ลูกสิงโตออกมาอ่อนแอ มีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปทำให้ใช้ชีวิตลำบาก เป็นดาว์นซินโดรม และแย่สุดคือ โตไม่เหมือนสิงโตทั่วไป”

นอกจากนี้ “ส่วนเรื่องอากาศนั้น สิงโตเป็นสัตว์ที่แห้ง มีปัญหาเรื่องเชื้อรากัดผิวหนังและป่วยเป็นโรคปอดอักเสบง่าย เพราะว่าอากาศประเทศไทยนั้นก่ำกึ่งร้อนชื้นและร้อนแห้ง ซึ่งสิงโตในหลายสวนสัตว์มักเจอปัญหานี้ ดังนั้น สวนสัตว์ใหญ่ๆ มักเลี้ยงสิงโตในลักษณะอากาศถ่ายเทสะดวกเสมอ และไม่มีความชื้นสะสมมากเกินไปนั่นเอง”

“ส่วนเรื่องข้อมูลการเลี้ยง กรณีสวนสัตว์ไม่มีปัญหาเพราะมีสัตวแพทย์และนักสัตววิทยาคอยให้ข้อมูลอยู่แล้ว แต่ผู้เลี้ยงทั่วไปจะเข้าใจว่าสิงโตนั้นเลี้ยงแบบแมวก็ได้ เลี้ยงปล่อยตามใจไม่ดุไม่ตีสั่งสอนให้ฟัง บางรายยังเข้าใจว่าสิงโตในที่เลี้ยงจะกินอาหารเม็ดแบบแมวได้ ก็เกิดปัญหาขาดสารอาหารไป ปัญหานี้แอดบิวเคยแนะนำผู้เลี้ยงท่านหนึ่งเรื่องพฤติกรรม เขาประหลาดใจว่าสิงโตขย้ำคอม้าลายหรือวิลเดอบีสต์ในธรรมชาติด้วย รวมถึงเรื่องปริมาณอาหารต่อวันเขาก็ไม่ทราบกัน ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงไม่คิดว่าสิงโตที่เลี้ยงอยู่ก็เป็นสัตว์ป่า”

“ผู้เลี้ยงบางคนเลี้ยงสิงโตด้วยเหตุผลหลายกรณี ทั้งเพราะเอ็นดูความน่ารัก ความชอบ ใช้แสดงสถานะทางสังคมว่าเป็นคนมีหน้ามีตาที่ดีในกลุ่มคน และบางคนก็มีตามกระแสอินฟลูดังๆหลายคนที่คลุกคลีกับสิงโตจนมีคนอยากไปเลี้ยงสิงโตกันมากขึ้นนั่นเอง แต่ปัญหาเรื่องเสียงคำราม บางคนเลี้ยงสิงโตใกล้ชุมชน ซึ่งเสียงคำรามของสิงโตจะเปล่งตลอดวัน (เช้ากับกลางคืนบ่อยสุด) เพื่อประกาศอาณาเขตไกลถึง 8 กิโลเมตร ระดับเสียง 80-100 เดซิเบล ในประเทศไทยเคยเกิดขึ้นกับกรณีสวนสัตว์แห่งหนึ่งที่ทะเลาะกับหมู่บ้านจัดสรรที่มาสร้างหลังสวนสัตว์หลายปี ทำให้สวนสัตว์ตัดปัญหาหยุดการเลี้ยงสิงโตในสวนสัตว์แห่งนั้นไปนานหลายปี”

อย่างไรก็ตาม กรณีเฟซบุ๊กของผู้ใช้รายหนึ่ง ลงรูปขณะพาสิงโตไปส่งลูกค้า ซึ่งถือว่าลักษณะการขนส่งนี้ผิดหลักในการขนส่งสัตว์ ยิ่งเฉพาะสิงโตที่เป็นสัตว์ป่า การขนส่งควรจะใช้กรงขนาดใหญ่หรือบ็อกซ์ใส่สุนัขขนาดใหญ่ เพื่อให้สิงโตถูกจำกัดพื้นที่เอาไว้ขณะเดินทาง ทั้งนี้ ตามหลักข้อมูลจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย ระบุว่า “ควรผูกล่ามสัตว์เลี้ยงไว้กับที่ห้ามปล่อยเดินไปเดินมา และไม่ควรเล่นกับสัตว์เลี้ยงขณะขับรถอยู่ ซึ่งมันคือความเสี่ยงสุดๆ หากเกิดอุบัติเหตุใดขึ้นมาบนท้องถนน ฉะนั้น ลักษณะการกระทำดังกล่าวที่ทุกคนเห็นในโซเชียลจึงไม่ถูกต้องเลย”

ขอบคุณข้อมูล : นี่คือตัวอะไร