เรียกได้ว่าเป็นกระแสที่กลายเป็นไวรัลอย่างมากอยู่ในขณะนี้ หลังเมื่อวันที่ 16 ม.ค. 68 มีผู้ใช้เพจเฟซบุ๊ก “Jessada Denduangboripant” ได้ออกมาโพสต์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ “นมถั่วเหลือง” ที่คนร่างกายปกติก็กินได้ ไม่ได้อันตรายอะไร หลังมีคำถามจากทางบ้าน ถึงการแชร์ข้อความของชายฝรั่งคนหนึ่ง ที่โพสต์ห้ามคนไม่ให้กินถั่วเหลือง ซึ่งมีแคปชั่นประกอบยาวเหยียดถึง “เหตุผลที่ผมไม่แนะนำให้กินนมถั่วเหลือง” ซึ่งโพสต์ดังกล่าวทำเอาหลายๆ คนกลัวการดื่ม “นมถั่วเหลือง” หรือกินอาหารที่ทำจากถั่วเหลืองทันที

โดยอาจารย์เจษฎ์ ได้อธิบายคุณประโยชน์ของ “ถั่วเหลือง” ว่าแท้จริงแล้วนั้นไม่ดีต่อสุขภาพ จริงหรือไม่?
สำหรับ “ถั่วเหลือง” เป็นหนึ่งในอาหารที่จะเห็นผู้คนถกเถียงกันอย่างมาก ว่ามันดีหรือไม่ดีต่อสุขภาพกันแน่ โดยในมุมหนึ่ง ถั่วเหลืองก็มีสารอาหารต่างๆ ในปริมาณสูง และมีข้อมูลงานวิจัยว่ามันช่วยเสริมสุขภาพได้ เช่น ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยการทำงานของหัวใจ ช่วยลดอาการวัยทองเมื่อหมดประจำเดือน และอาจจะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งบางชนิด โดยถั่วเหลืองนั้นมีโปรตีนสูง และเป็นโปรตีนที่ประกอบไปด้วยกรดอะมิโนสำคัญทั้ง 20 ชนิดที่ร่างกายต้องการ

นอกจากนี้ ยังมีไขมันพืช มีเส้นใย และมีวิตามิน เกลือแร่ รวมถึงสารประกอบของพืช อย่างพวกสาร โพลีฟีนอล ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และสารไอโซฟลาโวน ซึ่งเป็นสารกลุ่ม ไฟโตเอสโทรเจน ซึ่งสามารถเข้าไปจับและกระตุ้นการทำงานของตัวรับฮอร์โมนเอสโทรเจนในร่างกายได้ เนื่องจากมีโครงสร้างคล้ายกัน แม้ว่าจริงๆ แล้วจะมีความแตกต่างกัน และส่งผลต่อร่างกายต่างกัน คือ ให้นับว่าเป็นแค่ สารที่คล้ายกับเอสโทรเจนของคน แต่มันไม่ใช่ฮอร์โมนคน มันเป็นแค่สารของพืช

นอกจากนี้ ยังมีหลายคนที่กังวลว่า บริโภคถั่วเหลืองเข้าไปมากๆ จะไปเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม ไปขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยด์ หรือไปมีผลกระทบต่อผู้ชายให้กลายเป็นหญิงมากขึ้น ซึ่งจากการทบทวนงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวกับความกังวลของผลกระทบของถั่วเหลือง ที่มีต่อสุขภาพมนุษย์ ก็ได้คำสรุปดังต่อไปนี้
1. สารไอโซฟลาโวนของถั่วเหลือง มักจะถูกอ้างอิงว่า มันทำงานเหมือนกับเป็นฮอร์โมนเอสโทรเจน หรือฮอร์โมนเพศในกระบวนการสืบพันธุ์ของผู้หญิง หรือที่เรียกว่า ไฟโตเอสโทรเจน แต่จริงๆ แล้วถึงแม้ว่าโครงสร้างของมันจะคล้ายกับฮอร์โมน แต่ไอโซฟลาโวนของถั่วเหลืองนั้นทำงานได้น้อยกว่า และทำงานแตกต่างออกไปจากเอสโทรเจน

2. กรณีความเสี่ยงโรคมะเร็ง บางคนเชื่อว่า “ไอโซฟลาโวนของถั่วเหลือง” อาจจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม หรือมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก แต่ผลการศึกษาวิจัยส่วนใหญ่ ให้ผลเป็นลบและแถมในบางงาน กลับบอกว่ามันน่าจะช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งบางชนิดได้ด้วย

3. กรณีการทำงานของไทรอยด์ ผลการศึกษาในสัตว์ทดลอง และในหลอดทดลอง บอกว่าสารประกอบบางตัวในถั่วเหลือง อาจจะไปลดการทำงานของต่อมไทรอยด์ลง แต่ก็ยังแทบไม่มีผลการศึกษาที่แสดงให้เห็นถึงผลเชิงลบในมนุษย์ โดยเฉพาะในคนทั่วไปที่มีการทำงานของไทรอยด์เป็นปกติ

4. กรณีจีเอ็มโอ GMOs คือ ถั่วเหลืองที่บริโภคมักจะเป็นสายพันธุ์จีเอ็มโอ (GMO) ที่กังวลกันว่า อาจจะมียาปราบวัชพืช ตกค้างอยู่มากกว่าถั่วเหลืองสายพันธุ์เดิม หรือถั่วเหลืองที่ปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ และต้องมีการศึกษาผลกระทบระยะยาวที่อาจเกิดขึ้นจากการกินถั่วเหลืองจีเอ็มโอ แต่ขอเสริมว่าจริงๆ เราก็กินถั่วเหลืองจีเอ็มโอกันอยู่ทั่วโลก และกินกันนานนับสิบๆ ปีแล้ว ก็ยังไม่มีรายงานว่าพบผลกระทบเชิงลบอะไร

5. กรณีที่ไปยับยั้งสารอาหารอื่น ถั่วเหลืองมีสารประกอบบางอย่าง ที่อาจไปลดความสามารถของร่างกายในการดูดซึมสารอาหารกลุ่มวิตามินและเกลือแร่ที่กินเข้าไปได้ ซึ่งมีทางแก้โดยการเอาถั่วเหลืองไปแช่น้ำ ไปรอให้งอกหรือไปหมัก และไปประกอบอาหาร ก็สามารถลดสารกลุ่มยับยั้งสารอาหารอื่น

6. กรณีการย่อยอาหาร จากการศึกษาในสัตว์ พบว่าสารที่ยับยั้งสารอาหารอื่น ในถั่วเหลืองนั้น อาจจะไปลดการทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันของทางเดินอาหาร และอาจจะนำไปสู่การอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้ แต่ก็ยังต้องมีผลการศึษาในคน มายืนยันเรื่องนี้ก่อน

อย่างไรก็ตาม “ทั้งหมดนี้ก็ต้องบอกว่ามักจะเป็นเพียงแค่ข้อกังวล ที่ไม่ค่อยมีหลักฐานยืนยันทางวิทยาศาสตร์ และแม้ว่าจะมีรายงานการพบผลกระทบเชิงลบดังที่กล่าวมา ก็มักจะเกิดจากการบริโภคถั่วเหลืองเป็นปริมาณมากๆ เท่านั้น ตัวอย่างเช่น “ผู้ชาย” ที่มีรายงานว่าเกิดผลกระทบให้มีลักษณะเป็นหญิงมากขึ้น จากการบริโภคถั่วเหลืองนั้น พบว่า เขากินถั่วเหลืองในปริมาณมากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไป ถึง 9 เท่า ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติที่คนทั่วไปส่วนใหญ่จะกินถั่วเหลืองเยอะขนาดนั้น” อาจารย์เจษฎ์ กล่าว

ขอบคุณข้อมูล : Jessada Denduangboripant และhealthline