สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ เมื่อวันที่ 16 ม.ค. ว่าชีค โมฮัมเหม็ด บิน อับดุลเราะห์มาน อัล ธานี นายกรัฐมนตรีและรมว.กระทรวงการต่างประเทศกาตาร์ แถลงเกี่ยวกับการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในฉนวนกาซา ระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส “เพื่อปูทางสู่การยุติสงครามอย่างถาวร”


ข้อตกลงจะมีผลอย่างเป็นทางการ ในวันอาทิตย์ที่ 19 ม.ค. นี้ เนื่องจาก “เงื่อนไขบางส่วน” ของข้อตกลง “ยังไม่ได้รบความเห็นชอบ” จากคณะรัฐมนตรีอิสราเอล


ในเบื้องต้นข้อตกลงครั้งนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่การสงบศึก 1 สัปดาห์ เมื่อเดือนพ.ย. 2566 จะมีผลครอบคลุมระยะเวลานาน 6 สัปดาห์ กลุ่มฮามาสจะปล่อยตัวประกัน 33 คน เน้นคนชรา ผู้หญิงและเด็ก ซึ่งควบคุมตัวไว้ตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. 2566 ส่วนอิสราเอลจะปล่อยตัวนักโทษชาวปาเลสไตน์ออกจากเรือนจำ “เป็นสัดส่วน” รวมประมาณ 2,000 คน


ขณะที่กองทัพอิสราเอลจะถอนกำลังออกจากพื้นที่ ซึ่งมีประชาชนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น ในภาคตะวันออกของฉนวนกาซา ภายในรัศมี 700 เมตร เพื่อให้ชาวปาเลสไตน์ที่พลัดถิ่นฐานได้เดินทางกลับ และจะมีการเปิดทางให้ขบวนรถลำเลียงสิ่งของช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม สามารถเข้าสู่พื้นที่ได้มากขึ้น


นอกจากนี้ ข้อตกลงยังระบุเกี่ยวกับ การฟื้นฟูฉนวนกาซาด้วย แม้ทั้งในทางทฤษฎีและปฏิบัติ “ต้องใช้เวลานานมาก” จึงจะบรรลุผล และยังไม่มีการตกลงร่วมกัน เกี่ยวกับสถานะของฉนวนกาซา เมื่อสงครามยุติ


ทั้งนี้ทั้งนั้น ชีค โมฮัมเหม็ด เน้นย้ำว่า กาตาร์ อียิปต์ และสหรัฐ จะร่วมกันจับตาและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่า ทั้งอิสราเอลและกลุ่มฮามาสปฏิบัติตามข้อตกลง


ด้านประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ กล่าวว่า สมการของภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางที่เปลี่ยนแปลงไป จากการที่อิหร่าน “อ่อนแอลง” และอิสราเอลบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ร่วมด้วยประสิทธิภาพด้านนโยบายการทูตของสหรัฐ ช่วยให้ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสเกิดขึ้นอีกครั้ง

ไบเดนให้เครดิตนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ผู้นำสหรัฐด้วย ซึ่งร่วมกดดันกลุ่มฮามาส ว่าอีกฝ่ายต้องปล่อยตัวประกันก่อนวันสาบานตน 20 ม.ค. และเปิดเผยว่า รัฐบาลวอชิงตันแจ้งให้ทรัมป์ทราบเป็นคนแรก หลังมีการยืนยันข้อตกลงหยุดยิง.

เครดิตภาพ : AFP