“อดีตนายกฯ แม้ว” นายทักษิณ ชินวัตร ได้ไปปาฐกถาเกี่ยวกับเศรษฐกิจ และบอกว่า ปี 2570 ประชาชนล้วงกระเป๋าจะเจอเงินมากขึ้น เรื่องนี้ “รองหนิม” นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง บอกว่า เราพยายามทำให้เต็มที่ให้เศรษฐกิจดีขึ้น  ยอมรับว่างานยาก แต่เราคงพอใจกับการเติบโตทางเศรษฐกิจเพียง 2.5% ไม่ได้  เชื่อว่า ปี 2568 การเติบโตทางเศรษฐกิจจะแตะที่ 3% แน่นอน ปีหน้า และปีต่อๆ ไป โจทย์สุดท้าย จะต้องโตอยู่ที่ 5% ตามที่เคยพูดไว้อย่างแน่นอน  

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ได้ 3% จะทำอย่างไร นายจุลพันธ์ กล่าวว่า “จะให้ผมเอาชีวิตการันตีหรือ ผมคงไม่พูดอย่างนั้น เราก็ต้องทำให้ดีที่สุด หากผมไม่ตั้งเป้าไว้สูงก็คงไม่มีวันเดินไปถึง”

เมื่อถามถึงกรณีที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่า เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ไม่ทราบข่าว ความเห็นของ สศช.ที่ส่งมาที่ ครม.ไม่มีเรื่องนี้  การศึกษาของกระทรวงการคลัง เกิดผลต่อเศรษฐกิจใน 2 ช่วง คือ ช่วงก่อสร้างจีดีพีโตตกปีละ 0.2% ซึ่งไม่รวมการพนัน และการที่จะนำมาคำนวณเป็นจีดีพี ต้องมีการผลิตเกิดขึ้นในหลายส่วน ยืนยันว่า มันมีผลต่อเศรษฐกิจ ยิ่งลงทุนยิ่งมาก  

“บริษัทที่จะลงทุนจะต้องเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในไทย แต่ไม่ได้จำกัดเรื่องของสัญชาติ เพราะจะมีการเขียนกฎหมายให้ผู้ลงทุนต้องมีทุนจดทะเบียน 10,000 ล้านบาท เพื่อเป็นการคัดกรองให้รู้ว่าคนที่เข้ามาต้องเป็นเบอร์ใหญ่ และเป็นนักลงทุนจริงๆ  การทำโปรเจกต์ขนาดนี้ต้องเป็นคนที่มีความพร้อมและมีศักยภาพ มีประสบการณ์ เคยทำธุรกิจประเภทนี้มาก่อน  ผมยังไม่เคยพบกับใครตามที่เป็นข่าว แล้วก็ไม่ต้องมีใครมาพบผมด้วย” นายจุลพันธ์ กล่าว

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า รูปแบบการลงทุนจะเปิดกว้างทุกสัญชาติ หรือจะเป็นลักษณะของกิจการร่วมค้า มีหลายบริษัทเข้ามารวมอยู่ด้วยกัน เพราะในโครงการจะมีหลายส่วนทั้งสวนสนุก โรงแรม สนามกีฬา โดมจัดคอนเสิร์ต  ซึ่งในส่วนของนายทุนไทยหากสนใจลงทุนก็จะอาจไปร่วมกับต่างชาติที่มีความเชี่ยวชาญได้ ส่วนที่กลัวว่าจะเป็นแหล่งให้เกิดการฟอกเงิน ไม่ต้องกังวล เพราะบริษัทที่จะเข้ามา เป็นระดับโลก มีความน่าเชื่อถือ  

“หมอมิ้งค์” นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช  เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า มีนักลงทุนระดับโลกที่เชี่ยวชาญด้านธุรกิจสถานบันเทิง 6-7 ราย แสดงความสนใจลงทุนในไทย โดยจะใช้เม็ดเงินลงทุนไม่ต่ำกว่ารายละ 1 แสนล้านบาท คาดว่ากฎหมายบังคับใช้ช่วงต้นปี 69 จากนั้นจะตั้งคณะกรรมการนโยบายที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และตั้งสำนักงานกำกับดูแลขึ้นมา เพื่อพิจารณารายละเอียดทำเลที่ตั้ง จำนวนใบอนุญาต อัตราค่าบริการ โดยตั้งใจจะเห็นการลงทุน ตอกเสาเข็มโครงการสถานบันเทิงครบวงจร ขนาดแสนล้านเริ่มได้ภายในรัฐบาลชุดนี้

“เงื่อนไขการลงทุน จะเป็นโครงการใหม่ทั้งหมด บนพื้นที่ของหน่วยงานรัฐ ซึ่งนักลงทุนสนใจที่ดิน 300 ไร่  โดยภายในจะสร้างแหล่งท่องเที่ยวสำหรับครอบครัว มีทั้งโรงแรม 4-5 แห่ง 5,000 ห้อง สวนสนุกขนาดใหญ่  ศูนย์ประชุมนานาชาติ โดมจัดคอนเสิร์ต สนามกีฬา ขณะที่กาสิโนจะมีเพียง 3-5% เท่านั้น รัฐบาลตั้งเป้าจะเปิดให้บริการได้ปี 72 โดยทำเลที่นักลงทุนให้ความสนใจจะเป็นที่มีความสะดวกอยู่แล้ว ยกตัวอย่าง กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา แต่เรื่องสถานที่และขนาดพื้นที่ยังต้องรอคณะกรรมการชุดใหญ่ ศึกษา และชี้ชัดอีกครั้ง” 

สำหรับเงินหมื่นเฟสสอง นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรมว.คลัง กล่าวว่า การแจกเงินดิจิทัลเฟส 2 สำหรับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป  กระทรวงการคลังเตรียมโอนเงินในโครงการดังกล่าว ในวันที่ 27 ม.ค.นี้  โอนเข้าบัญชีทันทีผ่านบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชน หากจ่ายเงินไม่สำเร็จในครั้งแรก จะมีการจ่ายซ้ำ 3 ครั้ง หากพ้นกำหนด ก็ยุติการจ่ายเงินให้กลุ่มเป้าหมาย และถือว่ากลุ่มเป้าหมายไม่ประสงค์รับเงินภายใต้โครงการ จำนวนผู้สูงอายุที่คาดว่าจะได้รับสิทธิในโครงการนี้มีประมาณ 3.2 ล้านคน จากกรอบเป้าหมายที่กำหนดไว้  4 ล้านคน วงเงินงบประมาณ 40,000 ล้านบาท

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดทำระบบดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 ที่คาดว่าจะมีผู้ได้รับเงินกว่า 20 ล้านคน ว่า คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน มี.ค.นี้ เพราะได้บริษัทที่เข้ามาจัดทำระบบแล้ว โดยมีการทดลองระบบประมาณ 1 เดือน คาดว่า 3 เดือนจะแล้วเสร็จ  

“สส.มุ่ง” อัครเดช วงศ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า ในการประชุมสภาวันที่ 15 ม.ค. จะมีการพิจารณา พ.ร.บ.สรรพสามิตวาระสองและสาม ซึ่งพรรค รทสช. ได้ส่งเรื่องของสุรารวมไทยเข้าไป วิปรัฐบาลก็จะมีมติเห็นด้วยกับข้อสังเกตของทาง กมธ. เพื่อเป็นการปฏิรูประบบการจำหน่ายสุราของประเทศไทย เปิดโอกาสให้เกษตรกรได้ผลิตสุราชุมชนได้อย่างถูกกฎหมาย คาดว่าวันที่ 15 ม.ค.นี้ จะมีข่าวดีให้กับประชาชน

สำหรับการประชุมร่วมกันของรัฐสภา “ไอติม” พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) เสนอแก้ไขข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 ว่า มีประเด็นสำคัญคือ เปิดพื้นที่ให้ประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมต่อกระบวนการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยรัฐสภาในชั้นกรรมาธิการ  เสนอปลดล็อกและเปิดโอกาสให้พรรคการเมือง หรือ สว.สามารถเสนอชื่อบุคคลทั่วไปเข้าร่วมเป็น กมธ. เหตุผลสำคัญเพื่อให้กระบวนการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญมีความรอบคอบรอบด้านมากขึ้น รวมถึงให้บุคคล ภาคประชาสังคมที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญประสบการณ์กับการแก้รัฐธรรมนูญที่มากกว่าสมาชิกรัฐสภา แต่ไม่ได้เป็นสมาชิกรัฐสภาเข้ามามีส่วนร่วม

สำหรับการอภิปรายของสมาชิกรัฐสภานั้น พบว่าในการอภิปรายของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) รวมถึง สส.พรรคร่วมรัฐบาล เช่น พรรค รทสช. แสดงความไม่เห็นด้วยต่อการแก้ไขในประเด็นการกำหนดให้บุคคลภายนอกที่ไม่ใช่สมาชิกรัฐสภาเข้าร่วมเป็น กมธ.แก้รัฐธรรมนูญ รวมถึงติดใจในประเด็นที่ให้สิทธิสมาชิกรัฐสภาที่พ้นสมาชิกภาพมาเป็น กมธ.ได้ อาทิ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. อภิปรายว่า  หากยังให้คนที่ขาดสมาชิกภาพเป็น กมธ. ได้แต่ถือว่าดูแคลนกันไปหน่อย การเสนอแบบนี้คงหลับตาดูแล้วเห็นว่าใครขาดสมาชิกภาพในอนาคตหรือไม่  

นายพิสิษฐ์  อภิวัฒนาพงศ์  สว. อภิปรายว่า การเสนอให้มีตัวแทนประชาชนที่เสนอแก้รัฐธรรมนูญนั้น ตนติดใจในกระบวนการคัดเลือกที่ต้องโปร่งใส ยุติธรรม ไม่ใช่ถูกเลือกเข้ามาเพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมือง  การเสนอ กมธ.จากประชาชนเป็นเจตนาดี เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมแต่การปฏิบัติและโครงสร้างตั้ง กมธ. อาจไม่สมดุล อาจลดทอนอำนาจการถ่วงดุลของ สส. และ สว. กลับเพิ่มอำนาจให้กับฝ่ายที่สนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญ แม้ไม่มีร่างแก้ไขของประชาชนเข้ามาก็ตาม จะทำให้กระบวนการแก้รัฐธรรมนูญถูกชี้นำโดยเสียงข้างมาก

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า ตนเห็นด้วยควรรับหลักการ แม้มีข้อถกเถียงในการตั้งบุคคลที่ไม่ใช่สมาชิกรัฐสภาเป็น กมธ. ได้หรือไม่สามารถพิจารณาในชั้น กมธ.ได้ (หากรับหลักการร่างแก้ไขข้อบังคับ ก็มี กมธ.ขึ้นมาพิจารณาอีก) จากนั้นนายพริษฐ์  อภิปรายสรุปว่า เพื่อปิดปัญหา หาก สว. หรือ สส. จะเสนอชื่อใครต้องขออนุมัติจากสมาชิกรัฐสภา หากพบว่ามี กมธ.ที่น้อยไป สามารถแก้ไขได้  กรณีที่เสนอให้ผู้แทนประชาชนที่เข้าชื่อเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็น กมธ. นั้นเป็นกรณีพิเศษที่เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยประชาชน ส่วนจำนวนและถ้อยคำนั้น ตนดึงมาจากรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้  

จากนั้นที่ประชุมได้ลงมติ โดยพบว่ามติของรัฐสภา 415 เสียงเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย 185 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง ถือว่ารัฐสภาลงมติรับหลักการร่างแก้ไขข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ที่พรรค ปชน.เสนอ จากนั้นได้ตั้ง กมธ.เพื่อพิจารณา 18 คน กำหนดระยะเวลาเสนอคำแปรญัตติ 15 วัน

มีบรรยากาศน่าตกใจบ้างในการประชุมร่วม เนื่องจากระหว่างการพิจารณา ปรากฏว่า ได้เกิดเหตุกระป๋องนมร่วงตกลงมากลางวงที่นั่งของ สส.พรรคเพื่อไทย เฉียดหัว นางวิลดา อินฉัตร สส.ศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทย อย่างหวุดหวิด ซึ่งไม่ทราบว่าวัตถุดังกล่าวมาจากไหน แต่ไม่โดนใคร กระป๋องนมมีกระดาษสีน้ำตาลเสียบอยู่ด้านในแต่ไม่มีข้อความ จากนั้นเจ้าหน้าที่มาเก็บออกไป

“ทีมข่าวการเมือง”