เมื่อวันที่ 12 ม.ค.2568 ที่ จ.ร้อยเอ็ด ดร.ฉลาด ขามช่วง ประธานคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช.สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการติดตามตรวจสอบปัญหาโครงการก่อสร้างท่อระบายน้ำเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ และ โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งลำน้ำปาว ลำน้ำพาน แม่น้ำชี หรือที่ชาวกาฬสินธุ์ ประณามการก่อสร้างทั้ง 8 โครงการนี้ว่าเป็น การก่อสร้าง “7 ชั่วโคตร” ว่า งบประมาณการก่อสร้างของกรมโยธาธิการฯ ไปพัฒนาพื้นที่พัฒนาเมืองจำนวน 8 โครงการ งบประมาณ 545 ล้าน

การตรวจสอบเบื้องต้นการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง ตามระเบียบสำนักนายกฯ ทั้ง 8 โครงการนั้น ปรากฏมีผู้ได้รับงานมีแค่ 2 บริษัท ประกบคู่กันเอง ปรากฏปัญหาตามที่พี่น้องประชาชนได้ร้อง เพราะเกิดขึ้น ตั้งแต่ปี 62-63-64-65 ระยะเวลา 5 ปีเศษ ๆ โครงการทั้งหมด 8 โครงการ ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จแม้แต่โครงการเดียว สุดท้ายผู้รับจ้างทิ้งงาน ก่อนทิ้งงาน ได้เบิกเงินแอดวานซ์ 15% ก่อนทุกโครงการ แล้วนำวัสดุไปกองไว้ เอาปูน หิน เสาเข็มไปวางไว้เป็นอนุสรณ์ต่างหน้า บางสัญญาตั้งแต่ปี 62 บางสัญญาเพิ่งจะปี 63-64 ต่อเนื่องกัน 3 ปี เป็นข้อสังเกตคือบริษัทรับงานมีแค่ 2 บริษัท เป็นบริษัทใหญ่และมีชื่อเสียงในจังหวัดกาฬสินธุ์

“เรื่องนี้ พี่น้องประชาชนร้องเรียน เพราะได้รับความเดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็น โครงการเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำชี ต.เจ้าท่า อ.กมลาไสย ที่ก่อสร้างไม่เสร็จ ปรากฏว่าเอาหิน เอาเหล็ก เอาเสาเข็มไปกองไว้ ผู้รับจ้างก็เอาคนงานไปตั้งแคมป์ไว้ เปลี่ยนหน้าอยู่เรื่อย รวมทุกโครงการ 545 ล้านบาท เบิกไปแล้ว 250 ล้าน แต่สุดท้าย ไม่มีอะไรคืบหน้าเลย ทำโครงการอะไรไม่เสร็จสักอย่าง คณะ กมธ.ป.ป.ช.ก็สงสัยว่าทำไมปล่อยไว้นาน ทำไมให้เบิกเงินอย่างต่อเนื่อง เบิก 15% แล้วยังเบิกงวดงานไปได้ 3-4 งวด บางโครงการ 10 งวด ปริมาณงานยังเท่าเดิม เหมือนไม่มีการก่อสร้าง บางแห่งเสาเข็มยังไม่มีการตอกเลย บางแห่งก็ตอกเสาเข็มไว้ได้ครึ่งหนึ่ง เหมือนเสาโฮปเวลล์ในกรุงเทพฯ ถือเป็นจุดอ่อนของกรมโยธาฯ เนื่องจากผู้ควบคุมงาน กรมโยธาฯ ไม่ยอมใช้ช่างโยธาในพื้นที่ช่วยควบคุมงาน”

ดร.ฉลาด กล่าวว่า กรมโยธาฯ ถือเป็นศูนย์รวมของผู้เชี่ยวชาญทางด้านก่อสร้างทั้งหมด แต่กลับเกิดปัญหาให้ชาวกาฬสินธุ์ประณามว่า “7 ชั่วโคตร” เพราะเกิดความผิดพลาด บกพร่อง เรื่องนี้ กมธ.ป.ป.ช. กำลังแสวงหาข้อเท็จจริงว่าใครจะต้องรับผิดชอบเงินที่หายไป ซึ่งกรมโยธาฯ จะต้องฟ้องผู้รับจ้าง เพื่อเรียกเงินคืนมาก่อสร้าง เพราะถ้าไม่ได้เงินคืน กรมโยธาฯ ก็ต้องเอาเงินภาษีประชาชนไปสร้างให้เสร็จ นี่คือความเสียหายกับพี่น้องประชาชน นอกจากความเสียโอกาส ทำให้ดินเซาะพังทลาย ระหว่างก่อสร้าง พี่น้องประชาชนเดินทางลำบากมาก ทั้งฝุ่นคลุ้ง นี่เป็นส่วนหนึ่ง เป็นอุทาหรณ์อย่างหนึ่ง กรรมาธิการมองว่ามันมีส่วนได้ส่วนเสียหรือไม่ มีการทุจริตช่วงไหน ช่างควบคุมงาน มีความบกพร่องหรือไม่ ปล่อยปละละเลยหรือไม่ ทำไมปล่อยทิ้งเวลานาน

“ปกติแล้วคนทิ้งงาน กรมโยธาธิการฯ จะต้องแจ้งให้กรมบัญชีกลางเป็นผู้ทำหนังสือเวียน ว่าเป็นผู้ทิ้งงาน และห้ามบริษัท ห้างร้านนั้น ไปรับงานอีก เพื่อไม่เกิดความเสียหายต่อหน่วยงานอื่นต่อไป แต่ทราบว่าตั้งแต่พฤษภาคม 2567 มาถึงวันนี้ 2 บริษัททิ้งงาน กรมโยธาฯกับกรมบัญชีกลาง ยังไม่ดำเนินการอย่างไร ผลจึงทำให้ 2 หจก.ทิ้งงาน ยังสามารถไปรับงานได้อีกอย่างต่อเนื่อง ผ่านมาถึงเดือนมกราคม ปี 2568 ระยะเวลา 6-7 เดือนที่ทิ้งงานไป กรมบัญชีกลาง ก็ควรจะยุติว่า ไม่ต้องไปรับงานกับหน่วยงานอื่น แต่เมื่อ 2 หจก.ทิ้งงาน ยังมีอำนาจตามกฎหมายอยู่ เพราะคำสั่งจากหน่วยราชการยังไม่มี เขายังรับงานหน่วยงานอื่น จึงถือได้ว่าเป็นการปล่อยปละละเลยหรือไม่ เป็นการทุจริตหรือไม่ อันนี้เป็นการทำหน้าที่โดยชอบหรือไม่ กรรมาธิการต้องสอบ แล้วส่งให้ ป.ป.ช.ดำเนินการ ทั้งนี้จะติดตามว่า ในคราวประชุมครั้งที่ผ่านมา กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ยืนยันจะประกาศเวียนห้างภายก่อนสิ้นเดือนมกราคม 2568 จะทำจริงหรือไม่ด้วย”

ดร.ฉลาด ยังให้ความเห็นว่าเรื่อง 7 ชั่วโคตรนี้ ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับกรมโยธาฯ ที่มีเครื่องไม้เครื่องมือ มีความเชี่ยวชาญโดยตรง ทั้งที่ กรมโยธาฯ ถือเป็นผู้ที่มีวิชาชีพโดยแท้จริง ยังเกิดปัญหาขึ้นได้ คณะกมธ.ป.ป.ช. จะทำเรื่องนี้ให้ชัดเจน จบลงด้วยความยุติธรรม เพื่อสร้างเป็นบรรทัดฐาน เพราะความเสียหายที่เกิดจากหลังทิ้งงาน จะใช้เวลาในการเรียกร้องเท่าไหร่ ใครประมาณการความเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่นับความสูญเสียโอกาสของพี่น้องประชาชน กรณีนี้ ตนจะเรียนท่านนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เพื่อมีหนังสือสั่งการ และเป็นการจัดสัมมนาที่สภา เชิญหัวหน้าหน่วยงานทั้งหมด มาทำความเข้าใจว่า กรรมาธิการเรามีหน้าที่ป้องกัน เพื่อป้องกันข้าราชการทั้งหลาย ไม่ให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่ง กมธ.ป.ป.ช.ไม่ใช่ปราบปรามอย่างเดียว แต่ต้องร่วมกันป้องกันก่อน แต่เมื่อเตือนแล้ว หากท่านยังทำอยู่ เป็นเรื่องที่ต้องสืบสวนต่อไป คณะ กมธ.สภาผู้แทนราษฎร มีหน้าที่ทำความจริงให้ปรากฏ รักษาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน รักษาผลประโยชน์ของเงินภาษี สร้างความเป็นธรรมให้กับพี่น้องประชาชนชาวไทย ที่จะทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชนให้ดีที่สุด