ใกล้เข้าโค้งสุดท้าย…ของการหาเสียง ช่วงชิงเก้าอี้ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) รวม 47 จังหวัด ซึ่งกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดให้วันเสาร์ที่ 1 ก.พ. เป็น วันหย่อนบัตรลงคะแนน ซึ่งถือเป็นการปะทะกันระหว่าง “พรรคเพื่อไทย” (พท.) กับ “พรรคประชาชน” (ปชน.) เพื่อหวังขยายฐานการเมือง ก่อนที่จะเดินไปสู่สนามเลือกตั้งใหญ่ในปี 2570 ซึ่งทั้งสองพรรคหมายมั่นปั้นมือ จะคว้าชัยชนะ เพื่อเป็น พรรคที่มี สส. มากที่สุด เป้าหมายพรรค พท. อยู่ที่ 200 ที่นั่ง ส่วน ปชน. วางโจทย์ ไว้ที่ 270 สส. เพื่อตัดปัญหา ไม่มีพรรคการเมืองร่วมจัดตั้งรัฐบาลด้วย เหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังการเลือกตั้งเมื่อปี 66

ส่วนที่กำลังเป็นประเด็นและถูกจับตามองคือ การเคลื่อนไหวของ “นายทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งรับหน้าที่ผู้ช่วยหาเสียงให้กับพรรค พท. แม้ที่ผ่านมาจะทำให้พรรคประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งทั้ง นายก อบจ.อุบลราชธานี และ อุดรธานี แต่รูปแบบการปราศรัยก็หมิ่นเหม่กับการทำผิดกฎหมาย กรณีนำนโยบายรัฐบาลมาใช้กับการหาเสียง แม้ “นายอิทธิพร บุญประคอง” ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะออกมาระบุ ยังไม่มีใครยื่นคำร้อง แต่การเมืองไทยใครก็รู้ว่า การต่อสู้ทางการเมืองเป็นไปด้วยความดุเดือดและแหลมคม ยิ่ง ”นายทักษิณ” เปรียบเสมือน สายล่อฟ้า มีทั้งกองเชียร์และกองแช่ง ดังนั้นทางพรรค พท. จึงต้องระมัดระวังการเคลื่อนไหวในทุกย่างก้าว เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทับพรรค

ขณะที่ “นายสรวงศ์ เทียนทอง” รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะเลขาธิการพรรค พท. ออกมายอมรับว่า หาก กกต. มองว่าการปราศรัยของนายทักษิณ สุ่มเสี่ยงผิดกฎหมาย ก็ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบ โดยจะให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ไปพูดคุยกับ นายทักษิณ ซึ่งคงต้องรอดูพรรค พท. จะปรับรูปแบบการหาเสียงอย่างไร เพื่อไม่ให้ถูกยื่นร้องให้ตรวจสอบ ซึ่งอาจกระทบกับ ผู้สมัครนายก อบจ. และ พรรค พท. จะทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองเกิดขึ้น  ยิ่งหากบทสรุปของการตรวจสอบ ออกมาเป็นผลลบ ย่อมไม่เกิดผลดีกับพรรคแกนนำรัฐบาล

สำหรับ ตารางการลงพื้นที่ ของนายทักษิณ ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง ผู้สมัครนายก อบจ. ของพรรค พท. ในพื้นที่ภาคอีสานช่วงเดือน ม.ค. โดยวันที่ 18 ม.ค. นายทักษิณ ช่วย นายอนุชิต หงษาดี ผู้สมัครนายก อบจ.นครพนม วันที่ 19 ม.ค. นายทักษิณ ช่วย นายภูมิพันธ์ บุญมาตุ่น ผู้สมัครนายก อบจ.บึงกาฬ และช่วย นายวุฒิไกร ช่างเหล็ก ผู้สมัครนายก อบจ.หนองคาย และวันที่ 20 ม.ค. นายทักษิณ ช่วย นายพลพัฒน์ จรัสเสถียร ผู้สมัครนายก อบจ.มหาสารคาม

นอกจากนี้ในวันที่ 24-25 ม.ค. นายทักษิณลงพื้นที่ เพื่อช่วย นายวิวัฒน์ชัย โหตระไวศยะ ผู้สมัครนายก อบจ.ศรีสะเกษ โดยนายทักษิณ จะปิดท้ายหาเสียง พื้นที่ภาคเหนือ ที่ จ.เชียงใหม่ ประมาณวันที่ 27-28 ม.ค. โดยก่อนหน้านี้ในการขึ้นเวทีปราศรัยช่วยหาเสียง นายก อบจ.เชียงใหม่ นายทักษิณ ได้ประกาศไว้ว่าจะ ทวงคืนคะแนนเสียง ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ เนื่องจากการเลือกตั้งปี 66 ที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยแพ้ให้กับพรรค ปชน. ได้ สส. ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ มากถึง 7 เขต 

เชื่อว่าการเดินทางไปปราศรัยของนายทักษิณ จะถูกจับตามอง จากฝ่ายตรงข้าม และ บรรดานักร้อง แน่ๆ อีกทั้งที่ผ่านมา อดีตนายกฯ จะตอบโต้ฝ่ายที่ออกมาต่อต้านด้วย คำพูดที่แข็งกร้าว และ รุนแรง คงต้องรอดู จะมีการ ปรับแนวทาง ในการหาเสียงอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต

ส่วนการการพิจารณา แก้ไขรัฐธรรมนูญ (รธน.) ที่ทั้งสองพรรคการเมืองใหญ่ ทั้ง “ปชน.” และ “พท.” ยื่นแก้ไข มาตรา 256 และเพิ่มหมวดการ จัดทำ รธน.ใหม่ โดยกำหนด ให้มีสภาร่าง รธน. (ส.ส.ร.) โดยประเด็นที่ทั้งสองพรรคเห็นตรงกัน คือตัดเสียงสมาชิกวุฒิสภา (สว.) จำนวน 1 ใน 3 ออกจากการเห็นชอบในขั้นรับหลักการและชั้นวาระสาม ดังนั้นท่าทีของ สว. จึงมีความสำคัญ   หาก 67 เสียงไม่ความเห็นชอบ ร่าง รธน. ของทั้งสองพรรคย่อมตกไป เช่นเดียวกับท่าที พรรคการเมืองต่างๆ เพราะการแก้ไข รธน. ต้อง อาศัยเสียงกึ่งหนึ่ง ของสมาชิกรัฐสภา ดังนั้นเงื่อนไขที่วางไว้ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะผ่านความเห็นชอบ เพราะเชื่อมโยงกับ กระบวนการตรวจสอบ และ อำนาจฝ่ายบริหาร ซึ่งมีผลกระทบกับรัฐบาล พรรคฝ่ายค้าน องค์กรอิสระ กระบวนการยุติธรรม

ส่วนท่าที สว. นายพิสิษฐ์  อภิวัฒนาพงศ์ สว. ในฐานะ โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา (วิปวุฒิสภา) กล่าวถึงการประชุมรัฐสภา เพื่อพิจารณาการแก้ไข รธน. มาตรา 256 และเพิ่มหมวดการจัดทำ รธน.ฉบับใหม่ เลื่อนการพิจารณาไปเป็น วันที่ 13-14 ก.พ. เนื่องจาก สว. ขอเวลาศึกษาเนื้อหาให้รอบคอบ ว่า ในขั้นตอนของวุฒิสภานั้น เตรียมจัด เวทีเสวนาเรื่องแก้ รธน. ให้กับ สว. โดยจะเชิญ นักวิชาการ นักกฎหมาย รวมถึงผู้ที่ เคยยกร่าง รธน. มาให้ความรู้และความเข้าใจกับ สว. จะนำเนื้อหาร่างแก้ไข รธน. ที่เสนอต่อรัฐสภา มาพิจารณา

นายพิสิษฐ์ ยังให้ความเห็นอีกว่า มองว่าหาก ร่างแก้ไข รธน. ของทั้ง 2 พรรคดีจริง สามารถโน้มน้าว สว. จำนวน 67 เสียงให้ เห็นชอบได้แน่นอน ดังนั้นในระบบการปกครองที่ใช้แบบสองสภา ต้องการถ่วงดุลกันและกัน การตัดสิทธิ สว. ออกไปนั้น ขอตั้งคำถามว่าถูกต้อง ตามระบอบประชาธิปไตย หรือไม่ ขอย้ำว่าการปกครองของไทย ใช้ระบบสองสภา ที่ สส. และ สว. ต่างมี หน้าที่ถ่วงดุลกัน ดังนั้นการกำหนดเกณฑ์ให้ใช้เสียง สส. และ สว. ในมาตรา 256 (3) และ (6) นั้น จึงเป็นการเขียนที่ถูกต้องเพื่อให้เกิดการถ่วงดุลกัน ส่วนที่ไปแก้ไขให้ใช้เกณฑ์ผ่านด้วย เสียงเกินกึ่งหนึ่ง สมาชิกรัฐสภาที่มีอยู่ สว. ที่มี 200 คน จึงเทียบอะไรไม่ได้กับ สส. ที่มี 500 คน ดังนั้น สว. ไม่สามารถคัดค้านอะไร ได้เลย 

นายพิสิษฐ์ กล่าวอีกว่า การตัดเสียง สว. ออกไปนั้น ตนไม่เห็นด้วย เพราะขัดกับสิ่งที่ รธน. กำหนดไว้ และอย่าลืมว่า รธน.ฉบับปัจจุบัน ได้ผ่านประชามติมาแล้ว การแก้ไขใดๆ ตามที่เสนอมานั้นถูกต้องหรือไม่ ขอให้ผู้ยื่นร่างแก้ไข รธน. กลับไปอ่าน คำวินิจฉัยของศาล รธน. ที่ 4/2564 ให้ละเอียดและรอบคอบ และหวังว่าคงจะไม่ถอนออกไปก่อน ทั้งนี้ไม่ทราบว่าในขั้นตอนการพิจารณาหลังจากที่มีการบรรจุวาระต่อที่ประชุมแล้ว จะมี ผู้ยื่นต่อศาล รธน. หรือไม่ ซึ่งตนคงไม่ไปดำเนินการ แต่เมื่อสามารถบรรจุวาระให้พิจารณาได้ ตนยินดีเข้าร่วมประชุม แต่ไม่เห็นชอบ

เนื้อหาร่างแก้ไขรธน.ของพรรคปชน. ที่ให้ตัดเสียงสมาชิกวุฒิสภา (สว. ) จำนวน  1 ใน 3 ออกจากการเห็นชอบการแก้ไขรธน.  หลายคนไม่แปลกใจ เพราะท่าที่ของพรรคการเมืองค่อนข้างสุดโต่ง และยึดมั่นในความคิดเห็นของคนเองเป็นหลัก  แต่พรรคพท. ซึ่งเคยออกมาให้ความเห็น ต้องรับฟังความเห็นของสว. ด้วย  แต่กลับให้ตัดอำนาจสภาสูงในการให้ความเห็นชอบแก้ไขรธน. เลยถูกตั้งข้อสงสัยหรือ แกนนำพรรคร่วมรัฐบาล  ไม่ต้องการให้การแก้รธน.ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา  เพราะอาจมองว่ามีบางฝ่ายไม่พอใจ  กระทบกับสถานะการเป็นรัฐบาล  คงต้องรอดูกว่าจะถึงวันที่มีการประชุมรัฐสภา  เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรธน. จะมีตัวแปรอะไร ที่ส่งผลต่อการพิจารณากฎหมายแม่บทในการปกครองประเทศ และบทสรุปจะออกมาอย่างไร

ที่น่าสนใจคือการออกมาวิเคราะห์การเมืองของ นักการเมืองอาวุโส อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชป. กล่าวถึงมุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทยในปี 2568 ว่า จะมีความเข้มข้นขึ้น และอะไรก็เกิดขึ้นได้ โดยมีปัจจัย 8 ข้อ ที่จะส่งผลกระทบต่อการเมืองในปีนี้ คือ

1.เข้าสู่ปีที่ 3ของการเลือกตั้ง ถือเป็นครึ่งหลังของวาระ 4 ปีแล้ว 2.เป็นปีเลือกตั้งนายก อบจ. ซึ่งมีความสำคัญกับการเมืองใหญ่ เพราะการเลือกนายก อบจ. คือการชิงธงการเมืองใหญ่ในอนาคต ใครได้ นายก อบจ. มาครอบครอง ก็จะมีผลต่อการได้อำนาจ และเงินมาช่วยสนับสนุนการเมืองใหญ่ 3.เป็นปีแห่งการชิงไหวชิงพริบ ทางการเมืองที่เข้มข้นขึ้น ตัวอย่างเห็นได้ชัด เช่น เรื่องค่าไฟฟ้า ฝ่ายหนึ่งลดค่าไฟจาก 4.18 บาท เหลือ 4.15 บาท ลดไป 3 สตางค์ เป็นของขวัญปีใหม่ ให้ประชาชน แต่อีกฝ่ายยังเกทับจะลดเหลือ 3.70 บาท เป็นต้น 

4.การแก้ไข รธน. ที่เป็นนโยบายหาเสียงของหลายพรรคการเมือง และรัฐบาลชุดที่แล้วได้ประกาศไว้ในนโยบายเร่งด่วนว่าจะแก้ แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล เป็นชุดปัจจุบัน ก็ถอย จากนโยบายเร่งด่วน กลายเป็นนโยบายธรรมดา จะมีความขัดแย้งกัน ทั้งในระหว่างพรรคการเมืองและวุฒิสภาว่าจะต้องทำประชามติสองครั้งหรือสามครั้งกันแน่ 5.จะมีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ขึ้นอยู่กับข้อมูลของฝ่ายค้าน สิ่งที่ประชาชนอยากเห็นคือฝ่ายค้าน ทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล แทนประชาชนมากกว่าการตรวจสอบองค์กรอิสระ หรือกลไกอื่นๆ เพราะจะทำให้ภาพการอภิปรายเบลอออกไปไม่ตรงเป้า 

6.การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หากฝ่ายค้านอภิปรายตรงเป้า การปรับ ครม.ก็อาจเกิดขึ้นได้ แม้แพ้เสียงในสภา 7.เรื่องการยุบสภานั้น เชื่อว่าไม่มีรัฐบาลใดอยากยุบสภา จะยุบสภาก็ต่อเมื่อไม่มีทางไปแล้วเท่านั้น และ 8.ที่บอกอะไรก็เกิดขึ้นได้ ก็คือเรื่องคดีความที่มีผู้ร้อง ไปยื่นร้องนายกฯ และผู้เกี่ยวข้อง ไว้ที่ศาล รธน. และองค์กรอิสระต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีเรื่องที่ค้างอยู่ อย่างน้อย 13 เรื่อง ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่อาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในทางการเมือง ถ้าคดีเหล่านี้ถูกวินิจฉัยในทางลบกับรัฐบาล 

เชื่อว่าทั้ง 8 ประเด็นจะตรงกับ ความเห็นบรรดา นักวิเคราะห์ทางการเมือง หลายคน

                                                                                                                                                                ทีมข่าวการเมือง