เมื่อวันที่ 11 ม.ค. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กล่าวถึงเบื้องหลังการดำเนินการติดตามจับกุม นายเอกลักษณ์ แพน้อย หรือ เอ็ม กองเรือ มือยิงอดีต สส.กัมพูชา ว่า ผบ.ตร. ได้สั่งการ ผบช.น. ให้ตนเป็นหัวหน้าชุดสืบสวน โดยการทำงานในครั้งนี้ มีการระดมนักสืบจากสืบนครบาล และสืบ บก.น.1 และ สน.ชนะสงคราม ทำงานร่วมกัน

พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวต่อว่า จากการสืบสวนทราบว่าคนร้ายหนีออกไปทางภาคตะวันออก โดยใช้ขั้นตอนและวิธีการที่ตบตาเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนอย่างแยบยล ซึ่งการปฏิบัติการนี้ เราได้ร่วมบูรณาการ ถือว่าเป็นการหายใจรดต้นคอ เพราะคลาดกันเพียงแค่นิดเดียว ก่อนที่ผู้ต้องหาจะหลบหนีออกไปทางช่องทางธรรมชาติ พร้อมขอบคุณทางการกัมพูชา ซึ่งถือเป็นความร่วมมือของนักสืบของทั้งสองประเทศ

การปฏิบัติงานในครั้งนี้รวดเร็ว ซึ่งปกติการปฏิบัติงานในประเทศกัมพูชา จะต้องมีระยะเวลาที่นานกว่านี้ แต่ในครั้งนี้ ผบ.ตร. ได้เป็นผู้ประสานงานกับทางการกัมพูชา จนทำให้เกิดความร่วมมือในการส่งตัวผู้ต้องหาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเรื่องนี้ถือว่ามีประโยชน์ของการส่งตัวไว เพราะในกระบวนการสอบสวน พยานหลักฐานต่างๆ ไม่หายไป จะทำให้สามารถขยายผลไปโค่นทั้งขบวนการ และเชื่อว่าจะสามารถสาวไปถึงตัวการและต้นตอ

ส่วนที่ผู้ก่อเหตุมีลักษณ์ย่ามใจจนถูกจับกุมระหว่างกินข้าวนั้น พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวว่า เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องอนาธิปไตย เพราะหากปกติหากคนร้ายไปอยู่ฝั่งนั้นแล้ว การประสานจะยุ่งยาก และใช้ระยะเวลานานในการจับกุมตัว และตำรวจไทยไม่สามารถเข้าไปจับกุมนอกประเทศได้ ซึ่งครั้งนี้ไม่ใช่ตำรวจไทยที่เป็นผู้จับ แต่เป็นตำรวจกัมพูชาที่ดำเนินการจับกุมก่อนส่งตัวให้กับเรา เราเพียงแค่ทำหน้าที่ประสานงาน

“ที่จริงแล้วผู้ต้องหาต้องถูกดำเนินคดีฐานลักลอบเข้าเมือง แต่ในขั้นตอนตามกฎหมายของกัมพูชา รัฐมนตรีมหาดไทยสามารถยกเว้น และผลักดันออกนอกประเทศได้ และอีกทั้งผู้ต้องหาได้เข้าประเทศ 3-4 ชั่วโมง ก่อนที่ชุดสืบสวนของตำรวจกัมพูชา จะจับกุมตัวไว้ได้ หากปล่อยไว้นานกว่านี้ ผู้ต้องหาจะเข้าไปได้ลึก และยากต่อการติดตามจับกุมตัว” พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าว

พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวอีกว่า ตอนแรกหมายจับคนชี้เป้ายังไม่ออก ออกเพียงตัวผู้ก่อเหตุ แต่หลังจากดำเนินการจับกุมคนยิงแล้ว หมายจับคนชี้เป้าก็ออก แต่ติดตรงที่คนชี้เป้าไม่ใช่คนไทย แต่ผู้ลงมือเป็นคนไทย ดังนั้นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยการต้องผ่านวิธีการทูต เบื้องต้นต้องทำให้หมายจับที่เพิ่งออกกลายเป็นหมายแดงให้ได้ เพื่อใช้ตำรวจสากล

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ผู้ก่อเหตุพูดอะไรหรือไม่หลังจากที่ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัว พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวว่า “ยังไม่ได้เปิดปาก ซึ่งในการสอบสวนตามระบบ จะต้องเป็นระบบส่วนตัว และมีห้องส่วนตัว ทั้งนี้ ผู้ก่อเหตุได้ร้องขอเจ้าหน้าที่คุ้มครองเป็นพิเศษตั้งแต่แรก เนื่องจากกังวลเรื่องความปลอดภัยจากการถูกรุมประชาทัณฑ์และทำร้าย วันนี้จึงได้มีมาตรการในการคุ้มครองและรักษาความปลอดภัย” ส่วนจะกลัวถูกรุมประชาทัณฑ์เพียงอย่างเดียวหรือกลัวถูกตัดตอนหรือไม่นั้น พล.ต.ต.ธีรเดช ตอบเพียงว่า “เขาพูดแบบนั้น อย่างที่เข้าใจคือเขายังไม่ได้ร้องขอ”

พล.ต.ต.ธีรเดช อธิบายอีกว่า คดีที่เป็นมือปืนรับจ้าง ปกติจะใช้เวลาที่นานกว่านี้ถึง 5-7 วัน แต่วันนี้ยังไม่ถึง ชุดสืบสวนทำได้ถึงขนาดนี้ ถือเป็นการตอบโจทย์ได้อย่างหนึ่ง ซึ่งจะยกเคสนี้เป็นโมเดลหรือไม่นั้น ต้องดูที่ปัจจัย เพราะปัจจัยต่างๆ ในแต่ละเคสไม่เหมือนกัน จึงขอเป็นตัวแทนชุดสืบสวน ในการขอบคุณทางการกัมพูชา โดยเฉพาะชุดที่ให้ความร่วมมือในการจับกุมให้กับเรา.