เมื่อเวลา 11.15 น. วันที่ 9 ม.ค. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานในการประชุม ทั้งนี้มีการพิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจาของนายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ถามนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ เรื่อง บทบาทการทูตของไทยกรอบการทำงานของไทยต่อความไม่สงบในประเทศเมียนมา ต่อการช่วยเหลือและสนับสนุนให้เมียนมาเกิดสันติภาพโดยเร็ว เพราะประเทศไทยถือว่าเป็นมิตรประเทศใกล้เคียง
โดย รมว.ต่างประเทศ ชี้แจงว่า ประเทศไทยไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงกับทุกกลุ่ม ทั้งจากฝ่ายปกครองหรือฝ่ายต่อต้าน รวมถึงไม่สนับสนุนให้เกิดความรุนแรง ไม่ต้องการให้การสู้รบคงอยู่ในเมียนมาต่อไป อย่างไรก็ดีปัญหาของเมียนมานั้นจำเป็นต้องใช้การพูดคุยตามขั้นตอน สำหรันสถานการณ์ของเมียนมามีขั้นตอนและความเปราะบางหลายจุด รวมถึงมีผู้เล่นที่เกี่ยวข้องมาก สถานการณ์ซับซ้อน เป้าหมายของไทยอยากให้เมียนมากลับมาสงบ มีเสถียรภาพ ประชาชนเมียนมามีความเป็นอยู่ที่ดี มีความก้าวหน้า โดยต้องดำเนินการพูดคุยอย่างสร้างสรรค์กับคนทุกกลุ่มในเมียนมา

รมว.การต่างประเทศ ชี้แจงต่อว่า สำหรับความขัดแย้งในเมียนมาเป็นเรื่องภายในประเทศ พวกเขาต้องหาทางออกของอนาคตกันเอง จึงจะยั่งยืนในประเทศ โดยภายนอกไม่สามารถบีบบังคับให้เมียนมาเป็นไปตามที่ต้องการได้ ไทยตระหนักดีว่าเมียนมาเป็นประเทศเพื่อนบ้าน จึงมีความปรารถนาหาแนวทางสนับสนุนให้ฝ่ายต่างๆ หันหน้าคุยกันตามกระบวนการของอาเซียน ให้เมียนมามีความปรองดอง และพัฒนาเศรษฐกิจได้อีกครั้ง

จากนั้น นายปิยรัฐ จงเทพ สส.กทม. พรรคประชาชน ได้ตั้งกระทู้ถาม รมว.ต่างประเทศ เรื่อง ข้อพิพาทอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนบริเวณอ่าวไทยระหว่างประเทศไทยและประเทศกัมพูชา โดยถามถึงความคืบหน้าการดำเนินการและการเจรจาระหว่างไทยและกัมพูชาตามกรอบของเอ็มโอยู 2544 รวมถึงกรณีต่อการนำพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนขึ้นมาใช้ระหว่างที่การเจรจาข้อพิพาทจะแล้วเสร็จ ที่พบว่าทั้งไทยและกัมพูชาพบการให้สัมปทานกับเอกชนไปแล้ว
โดยนายมาริษ ชี้แจงว่า รัฐบาลไทยชุดปัจจุบันยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ ในเรื่องดังกล่าว ซึ่งตามกรอบเอ็มโอยูปี 2544 มีข้อกำหนดให้รัฐบาลทั้ง 2 ฝ่ายต้องเจรจาร่วมกัน ทั้งนี้รัฐบาลไทยมีกลไกของกรรมการร่วม แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้ตั้งกรรมการดังกล่าวขึ้นมาพิจารณา สำหรับข้อห่วงใยของ สส.ฝ่ายค้านนั้น ตนพร้อมรับฟัง อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศ และกรรมาธิการ (กมธ.) ของสภาผู้แทนราษฎรที่เกี่ยวข้อง จะร่วมกันจัดเวทีสัมมนาในปลายเดือน ม.ค.นี้ เพื่อรับฟังความเห็นในประเด็นดังกล่าว.