จุดพลุเรียกเสียงฮือฮารับปีใหม่ 2568 สำหรับ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ลั่นวาจาระหว่างปราศรัยหาเสียงการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ว่า อยากให้ปีนี้ค่าไฟฟ้าลดราคาจากหน่วยละ 4 บาท ให้ลงมาอยู่ที่ 3.70 บาท โดยได้คุยกับ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน แล้วให้ช่วยทุบ และ “นายกฯแพทองธาร ชินวัตร” จะเรียกประชุมทุกคนและภาคเอกชน เพื่อให้เต็มใจยอมรับการรีดไขมันครั้งนี้
แม้ใครๆอยากให้เกิดในเร็ววัน แต่ก็มีเสียงสะท้อนความคิดเห็นหลายแง่มุม ส่วนใหญ่เชื่อว่าเน้นหวังผลสำคัญทางการเมือง เพราะ “อดีตนายกฯทักษิณ” ไม่ได้ระบุว่าการลดค่าไฟนี้จะเริ่มได้เมื่อไหร่ จะตรึงนานแค่ไหน ขณะที่ “นายกฯแพทองธาร” พูดแค่ว่า ค่าไฟ 3.70 บาท มีโอกาสเป็นไปได้ แต่ทุกภาคส่วนต้องพูดคุยและทำงานร่วมกัน อาจต้องใช้เวลา
จึงมีคำถามว่าหากเป็นเรื่องที่ทำได้จริง เหตุใดไม่จัดการตั้งแต่ยุค “อดีตนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน” ทั้งที่ขณะนั้นพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาลเช่นเดียวกับปัจจุบัน หรือการจะมาทำเวลานี้เป็นเพราะยึดจังหวะเกมการเมืองเป็นตัวตั้ง แล้วใช้กลเกมการตลาดทางการเมืองยิงโปรโมชั่นตรงจับใจประชาชนที่กำลังแบกรับภาระค่าครองชีพซึ่งรวมถึงค่าไฟฟ้า เพื่อเรียกคะแนนให้ “ทักษิณ-เพื่อไทย” คว้าชัยในสนามนายกอบจ. ปูทางสู่ความยิ่งใหญ่ก่อนลุยสนามระดับชาติ
คอการเมืองบางส่วนตั้งข้อสังเกตด้วยว่า อาจเป็นเพราะผลโพลที่พบว่าคะแนนนิยมของ “พีระพันธุ์” เจ้ากระทรวงพลังงาน ผู้สวมหมวกหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ยังดีวันดีคืน ซึ่งคาดว่าจะมาจากการประกาศปรับโครงสร้างราคาพลังงาน และตรึงค่าไฟได้บางช่วงที่รวมถึงของขวัญปีใหม่จากกระทรวงพลังงาน คือการลดค่าไฟฟ้าเหลือหน่วยละ 4.15 บาท ตั้งแต่เดือน ม.ค-เม.ย.2568 จึงโดน “ทักษิณ” ดั๊มพ์ราคาเกทับกลับ
นอกจากนี้ ฝ่ายค้านเตรียมขอเปิดการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งอาจเป็นกลางเดือนก.พ.หรือมี.ค.นี้ และหลังจบศึกดังกล่าว มักจะมีการปรับเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีตามมา
ประกอบกับใกล้ถึงกรอบเวลาที่“ทักษิณ” มักกดปุ่มปรับครม.หลังจากรัฐบาลทำงานมาแล้ว 6 เดือน โดย “ครม.อิ๊งค์ 1” จะอยู่ครบ 6 เดือนในเดือนเม.ย.2568 จึงมีเสียงวิจารณ์ว่าถ้า “ทักษิณ-เพื่อไทย” ลดค่าไฟฟ้าเหลือ 3.70 บาทได้ คงชิงเป็นผลงานตัวเอง แล้วทุบอก “รวมไทยสร้างชาติ” ให้คืนเก้าอี้รมว.พลังงาน เสียโอกาสทำผลงานเก็บแต้มเข้าพรรค
ขณะเดียวกัน การลดค่าไฟนี้มีข้อกังวลถึงผลที่จะตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากใช้วิธีขยายระยะเวลาจ่ายคืนค่าไฟฟ้าผันแปร (เอฟที) ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับภาระไว้ 80,000 ล้านบาท โดย “ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์” อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เตือนว่า ค่าไฟฟ้าที่ปรับลดไปก่อนหน้า ทำให้คนไทยยังค้างชำระหนี้กฟผ. เกือบ 1 แสนล้านบาท ถ้าลดค่าไฟฟ้าเหลือ 3.70 บาท ประชาชนต้องแบกรับภาระหนี้ระยะยาวอยู่ดี
สอดรับกับท่าทีของนายกฯ และรมว.พลังงานที่ป่านนี้ยังไม่เอ่ยถึงวิธีที่ยั่งยืนทำให้คนไทยใช้ไฟราคาถูกระยะยาว
สุดท้ายการทุบค่าไฟก็คงตามสูตร “ประชานิยม” ชั่ววูบ คล้ายรัฐจ่ายยาหลอก ทุบประชาชนให้ยังอ่อนแอ.