เรื่องที่ฮือฮากันมากในช่วงนี้ คงจะเป็นเรื่องการลดค่าไฟให้เหลือหน่วยละ 3.70 บาท จากเดิมราคา 4.15 บาท (ใช้อัตรานี้ถึง เม.ย.) เรื่องนี้ “อดีตนายกฯ แม้ว” นายทักษิณ ชินวัตร พูดไว้ตอนหาเสียง อบจ.เชียงราย เมื่อถึงวันประชุม ครม. “ลูกอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ กล่าวว่า ค่าไฟฟ้าหน่วยละ 3.70 บาทนั้น เราอยากทำให้ได้ แต่ต้องพูดคุยกับหลายฝ่าย ฉะนั้นอาจต้องใช้เวลา เรื่องนี้เป็นวาระแรกๆ ของรัฐบาล จากราคาปัจจุบัน เราจะค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ
ผู้สื่อข่าวถามว่า นโยบายปรับลดค่าไฟฟ้า ถือเป็นหลักประกันเก้าอี้ของ “หัวหน้าตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรมว.พลังงาน ด้วยหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ไม่เคยคิดเรื่องการปรับ ครม. แต่มีแผนจะเรียกรัฐมนตรีประเมินผลงานใน 3 เดือน เพื่ออัปเดตว่าสถานะของแต่ละนโยบายทำถึงไหนแล้ว ต้องการทราบว่าคนที่อยู่หน้างานทำอะไรบ้าง จะได้คุยกันได้เพื่อจัดเวลาให้รัฐมนตรีแต่ละคนนำเสนอพูดคุยและขอการสนับสนุนซึ่งกันและกัน ซึ่งจะทำให้เกิดผลเป็นรูปธรรม คิดว่าภายในเดือนนี้จะมีการเชิญรัฐมนตรี 2 กระทรวงมาพูดคุย

เมื่อถามว่า หากแก้ทุนผูกขาดไม่ได้ จะเปลี่ยนคนทำงานแทน อย่างที่นายทักษิณ พูดบนเวทีปราศรัยหรือไม่ น.ส.แพทองธาร หัวเราะก่อนตอบว่า “สไตล์การทำงานไม่เหมือนกัน นั่นคือสไตล์ของท่านทักษิณ แต่ดิฉันจะใช้วิธีคุยตรงๆ ว่า สิ่งนี้อยากให้เกิดขึ้นได้ไหม ส่วนกลางจะสนับสนุนเรื่องอะไรได้บ้าง ถ้าพูดไปแล้วไม่เกิดขึ้นเป็นเพราะอะไร ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง ถ้าละเลยไม่สนใจทำงาน มันเห็นได้ถึงเจตนาอยู่แล้ว การมีเสถียรภาพ ทำให้งานมันเกิดไม่ว่าจะในกระทรวงหรือในรัฐบาล ทำให้งานต่อเนื่อง ย้ำว่า ยังไม่มีแผนที่จะปรับ ครม. ตอนนี้ยังไม่คิดเรื่องดังกล่าวขอดูผลงาน”

นายกฯ อิ๊งค์ยังกล่าวถึงการเคลื่อนไหวของอดีตนายกฯ แม้ว ว่า ที่วิจารณ์เรื่องนายกฯ ตัวจริงบ้าง นายกฯ กี่คนบ้าง ตนเป็นลูกสาวนายทักษิณ ไม่ได้เป็นคู่แข่ง การที่พ่อพูดแล้วเรานำมาประยุกต์ใช้ได้คือสิ่งที่ดี ตนมองทุกอย่างเป็นแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ การพูดตนรับฟังได้ แต่ถ้ารู้สึกไม่พอใจเมื่อไร สื่อมวลชนก็ต้องรู้หลังไมค์กันแน่นอน ไม่ได้รู้สึกอะไรที่นายทักษิณพูด เพราะมันเป็นสไตล์การพูดของพ่อ
“เรื่องที่นายทักษิณ พูดนโยบายออกมาก่อนแล้วรัฐบาลมักจะตาม คือพูดคุยกันนอกรอบก่อนแล้ว และดิฉันก็กำหนดไว้ว่าจะให้สัมภาษณ์วันอังคารหลัง ครม.เท่านั้น นายทักษิณ ออกไปพูดคุยก่อน ก็เป็นรอบที่ได้พูดก่อน ประโยชน์ก็อยู่ที่ประเทศถ้ามันเกิดขึ้นจริง ไม่ได้รู้สึกกระทบอะไร ไม่ได้รู้สึกว่านายกฯ สองคนสามคน แล้วต้องเสียใจหรืออะไร สิ่งที่นายทักษิณพูด หลายอย่างมันก็ไม่ได้เกิดขึ้น หลายอย่างต้องผ่านมติ ครม. มติพรรค มันแค่วิสัยทัศน์”

ผู้สื่อข่าวถามกรณีมีดราม่าที่นายทักษิณไปปราศรัยที่เชียงราย และไปพูดถึงผู้หญิงแอฟริกา นายกฯ กล่าวว่า “จากที่ฟังเนื้อความพูดเหยียดจริงๆ หรือไม่ ขอให้ลองไปฟังที่พ่อพูดดูก็มั่นใจ 100% ว่า ไม่มีเจตนาเรื่องเหยียดผิว พ่อเคยบอกก่อนหน้านี้ว่า คนไทยจะไปทำศัลยกรรมทำไม เราก็สวยแบบไทยของเรา รวมถึงการเพิ่มโอกาสให้กับคนที่ไม่ต้องเสียเงินไปทำจมูก ไปทำศัลยกรรม เราก็สามารถประกวดในแบบของเราได้ นี่คือความตั้งใจของพ่อในเรื่องของโอกาส ลองไปฟังต้นฉบับก่อน พ่อเป็นคนที่ไม่ได้เหยียดคนอยู่แล้ว ถ้าได้ยินหรือเข้าใจผิดอย่างนั้นคิดว่าไม่ใช่แน่นอน ทุกชาติเขาก็มีความสวยเป็นธรรมชาติของเขา ที่มี สว. อยากให้ไปเตือนพ่อ ก็คุยกันอยู่แล้ว และทราบถึงความตั้งใจ เพราะเรื่องนี้พ่อพูดมาก่อนนี้ด้วยซ้ำ มันไม่ใช่เรื่องของการเหยียด ฉะนั้นก็ไม่ต้องเตือนอะไร”

สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ “เอิร์ธ” ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ประธานวิปฝ่ายค้าน แจ้งว่า การยื่นญัตติจะเป็นช่วงเดือน ก.พ. ส่วนวันอภิปรายน่าจะอยู่ปลาย ก.พ.หรือต้น มี.ค. หรืออาจจะ ขยับไปสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมี.ค.โดยจะไม่ช้าไปกว่านั้น จะอภิปรายหลายเรื่อง ทั้งนโยบายหรือการบริหารราชการที่ล้มเหลว รวมไปถึงกรณีต่อการทุจริตคอร์รัปชั่น อาทิ การเอื้อกลุ่มทุนผูกขาด การเอื้อตัวบุคคลบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม เรื่องนโยบายที่ล้มเหลวเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา อาจมีบางเรื่องที่ยังไม่เคยพูดและมีข้อมูลที่ได้มาจากทางหลังบ้าน ที่จะเห็นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในรอบนี้
“ไม้เด็ดบางเรื่องยังไม่เปิดเผยกับคนในพรรคด้วยซ้ำ มีเซอร์ไพร้ส์บางเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่ ยังไม่เคยมีใครรับรู้มาก่อน กำลังเช็กความถูกต้องของข้อมูล ยอมรับว่าฝ่ายค้านเป็นเสียงส่วนน้อย กลไกการอภิปรายไม่ไว้วางใจ คงจะหวังได้ยากที่การลงมติจะทำให้น็อกรัฐมนตรีได้ แต่ก็ไม่แน่เพราะพรรครัฐบาลนั้นง่อนแง่นกันอยู่ อาจมีใครเปลี่ยนข้างขึ้นมาแล้วไปโหวตส่วนในญัตติอภิปราย การน็อกกลางสภาขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมือง และสถานการณ์ความร้าวฉานของพรรคร่วมรัฐบาลเป็นหลัก จะอภิปรายทั้งนายกฯ และรัฐมนตรีรายบุคคล”

ก็น่าลุ้นว่าในช่วงเดือนกว่า พรรคไหนคือ “อีแอบ” ตัวจริงที่ทำให้นายใหญ่พรรคเพื่อไทยไม่พอใจ
เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ “ไอติม” พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. กล่าวถึงร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม มาตรา 256 ว่าด้วยเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเพิ่มหมวด 15/1 คือการให้สภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ให้ทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ว่า ยังมีเสียงต่อต้านจาก สว.ว่าร่างของพรรค ปชน. เรื่องตัดเสียง สว.ในการลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากย้อนไปในสภาชุดที่แล้ว พรรคเพื่อไทยก็เคยยื่นร่างแก้ไข มาตรา 256 ตัดเงื่อนไข 1 ใน 3 ของ สว.ออก รัฐสภาขณะนี้ก็โหวตเห็นชอบในหลักการ สว.ชุดที่แต่งตั้งโดย คสช.ประมาณ 100 กว่าคนก็โหวตเห็นชอบ เช่นเดียวกับ สส.รัฐบาลขณะนั้น

“ร่างที่เคยได้รับการเห็นชอบในปี 63 เมื่อเปลี่ยนมาเป็น สว.ชุดใหม่ ทำไมเราจึงมองว่าการตัดเงื่อนไข 1 ใน 3 ของ สว.ออกจึงจะไม่เป็นเหตุเป็นผล ตกลงแล้ว สว.ชุดนี้จะเป็นปฏิปักษ์ต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญมากกว่าชุดที่แล้วหรือไม่”
น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. และ กลุ่ม สว.พันธุ์ใหม่ ร่วมกันแถลงจุดยืนเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่าจุดยืน สว.พันธุ์ใหม่ คือสนับสนุนร่างของพรรค ปชน. ที่มีเนื้อหาลดอำนาจ สว. ที่ต้องใช้เสียง 1 ใน 3 เห็นชอบแก้รัฐธรรมนูญวาระแรก สว.ชุดนี้ไม่ได้มาจากประชาชน ไม่สามารถอ้างเป็นตัวแทนของประชาชนทั้งประเทศได้ เราสนับสนุนให้เลือกตั้ง ส.ส.ร. และเห็นว่าหากไม่ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับอาจจะทำให้มีมรดกเผด็จการยังคงอยู่
นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สว. แถลงเรียกร้องให้รัฐบาล เสนอร่างของ ครม.เข้าร่วมประกบด้วย ไม่ใช่เพียงร่างของพรรคเพื่อไทยเท่านั้น หลังรัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเอาไว้ เพื่อย้ำเจตนารมณ์ว่ารัฐบาลมีเจตนารมณ์นี้จริง และเพื่อพิสูจน์ความจริงใจ และชี้แจงว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องทำใหม่ทั้งฉบับ ไม่เคยมีการกำหนดว่าห้ามแตะหมวด 1 หรือหมวด 2 เพราะมีการกำหนดไว้อยู่แล้วว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองหรือรูปแบบของรัฐ ที่ผ่านมารัฐธรรมนูญปี 2540 และรัฐธรรมนูญปี 2550 รวมถึงรัฐธรรมนูญปี 2560 มีการแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 ให้สอดคล้องกับเนื้อหาทั้งหมดอยู่แล้ว ทั้งมาตรา 3 มาตรา 5 มาตรา 7 มาตรา 11
ก็เป็นความเคลื่อนไหวเรื่องรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะพิจารณาในที่ประชุมร่วมรัฐสภา วันที่ 14-15 ม.ค. และน่าเชื่อได้ว่า ร่างของพรรค ปชน.จะถูกคว่ำ จากเสียง สว. แต่เหตุผลคืออะไรไปรอฟังกัน.