เมื่อวันที่ 7 ม.ค. ที่สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด อาคารถนนบรมราชชนนี คณะทำงานอัยการและพนักงานสอบสวนกองบังคับการกองปราบปราม ร่วมสอบสวนคดีนอกราชอาณาจักร ในคดีที่ นางจตุพร อุบลเลิศ หรือ คุณอ้อย เจ้าของธุรกิจที่ประเทศฝรั่งเศส กล่าวหา นายษิทรา เบี้ยบังเกิด กับพวก ผู้ต้องหา ในความผิดฐานฉ้อโกงฯ ร่วมกันฟอกเงิน และความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยมี นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน เป็นหัวหน้าคณะทำงานคดีนอกราชอาณาจักร โดยวันนี้ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือ คุณอ้อย เศรษฐินี พร้อมด้วย น.ส.ปัทมพร แสงฤทธิ์ หรือ คุณน้อย เลขานุการส่วนตัวเดินทางมาตามนัดสอบสวนเพิ่มเติม

นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานกล่าวก่อนทำการสอบสวน ว่า คดีนี้เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 20 เป็นคดีนอกราชอาณาจักรที่เป็นอำนาจของท่านอัยการสูงสุด คดีนี้อัยการสูงสุดได้มอบหมายให้พนักงานอัยการสำนักงานการสอบสวน เข้ามาร่วมสอบสวนคดีซึ่งการร่วมสอบสวนอัยการจากสำนักงานการสอบสวนจะมีอำนาจหน้าที่ ออกคำสั่งหรือให้คำแนะนำในการรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด ซึ่งทางคณะพนักงานอัยการได้มีการร่วมประชุมกับพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามแล้ว เมื่อได้ดูสำนวนแล้ว ก็ยังมีประเด็นที่จะต้องสอบถามนางจตุพร ซึ่งเป็นประธานของคดีในการเป็นผู้เสียหายและเป็นผู้เริ่มคดี เราอยากจะถามข้อเท็จจริงบางอย่างที่การสอบสวนในชั้นกองปราบฯ ยังไม่ปรากฏชัดขึ้นมา วันนี้ก็เลยเชิญนางจตุพร พร้อมด้วยเลขานุการมาให้การเพิ่ม นอกจากนี้ ก็ยังมีพยานบางปากที่ยังไม่ได้สอบสวน เราก็เรียกมาสอบสวนด้วย ไม่ใช่เฉพาะนางจตุพร และเลขาฯ เท่านั้น เรายังดูข้อเท็จจริงด้วยว่า หากพยานหลักฐานถ้าถึงใคร ก็อาจจะต้องดำเนินคดีเพิ่มเติม ในอนาคตอาจจะมีผู้ต้องหาเพิ่มเติมเราก็จะต้องพิจารณาต่อไป

โดยคดีนี้เรามีกรอบระยะเวลาในการพิจารณา เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีนอกราชอาณาจักรอำนาจการสั่งคดีเป็นของอัยการสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว เรื่องนี้เราจะกราบเรียนเสนอส่งถึงอัยการสูงสุดภายในวันที่ 15 ม.ค. ซึ่งจะทันในช่วงระยะเวลาฝากขังครั้งสุดท้าย ให้คณะทีมงานกลั่นกรองของท่านอัยการสูงสุด ได้มีเวลาการกรองสำนวนก่อนส่งให้ท่านอัยการสูงสุดพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ให้ยังพอมีเวลา เผื่อหากท่านอัยการสูงสุดมีประเด็นที่อาจจะสั่งสอบสวนเพิ่มเติมอีก

ในส่วนทางฝั่งผู้ต้องหาตอนนี้ที่เราเข้ามาร่วมสอบสวน ยังไม่มีการร้องขอความเป็นธรรมเพิ่มเติมเข้ามา แต่ถ้ามีร้องเข้ามาเราก็จะต้องมาดูประเด็นอีกทีว่า มีประเด็นเพียงพอที่เราจะต้องสั่งสอบสวนเพิ่มเติมตามคำร้องหรือไม่

โดยหลังจากนี้ ที่สำนักงานการสอบสวนของเราจะมีการเรียกพยานในคดีมาสอบสวนเกือบทุกวัน และอาจจะมีพยานบางปากที่อัยการจะต้องไปสอบสวนนอกสถานที่ โดยสำหรับพยานที่ต้องสอบสวนเพิ่มเติมจะมีทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นพยานที่เกี่ยวกับเส้นทางการเงินหรือเกี่ยวกับข้อเท็จจริงต่างๆ ที่จะเป็นประเด็นพิสูจน์ได้ว่า ผู้ต้องหามีความผิดหรือความบริสุทธิ์

เราจะสอบให้หมด ตอนนี้ที่เราทำบัญชีพยานไว้ตอนนี้ 15 ปาก แต่ยืนยันว่าจะสอบสวนทันภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ เพราะในวันหนึ่ง เราสอบหลายปาก ส่วนพยาน 15 ปากนี้ มีบางปากเคยสอบสวนไปแล้ว แต่เราต้องการสอบสวนเพิ่มเติม

“ประเด็นที่เราต้องเอาให้เคลียร์ เป็นประเด็นของตัวผู้เสียหายกับพยานแวดล้อมที่เกิดขึ้น เราก็ต้องให้เคลียร์ประเด็นต่างๆ เรื่องนี้มีอยู่ 3 ประเด็น เราจะสอบสวนให้ชัดเจน ที่ต้องเชิญคุณอ้อยและเลขาฯ มาก็เป็นประเด็นสำคัญ เพราะคนเปิดคดีก็เป็นคุณอ้อย ซึ่งเป็นผู้เสียหาย ก็ต้องการที่จะสอบให้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่เฉพาะคดี 71 ล้าน แต่เป็นทุกคดีเพราะเป็นเรื่องเดียวกันหมดแบ่งเป็น 3 ส่วน” รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน ระบุ

ด้าน น.ส.จตุพร หรือ เจ๊อ้อย กล่าวว่า ตนเดินทางกลับมาประเทศไทย เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ที่ผ่านมา เพื่อมาให้การสอบสวนเพิ่มเติมตามที่พนักงานอัยการได้แจ้งมา สำหรับการสอบสวนในวันนี้ ตนไม่ได้มีหลักฐานมาเพิ่มเติม แต่มาให้ข้อมูลที่ทางพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการเห็นว่า ยังต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเท่านั้น ทั้งนี้ ตนพร้อมจะให้ความร่วมมือในการสอบสวน เพราะเชื่อมั่นในกระบวนการการสอบสวนที่มีความรัดกุมว่า จะทำให้เอาผิดกับทนายตั้มกับพวกได้ถึงที่สุด และขอยืนยันว่าตนจะดำเนินคดีถึงที่สุด ไม่มีการยอมความ และได้มอบหมายให้ทางคุณสนธิ ลิ้มทองกุล มาช่วยดูแลในคดีนี้อย่างเต็มที่ หากจะมีการเจรจา ต้องไปพูดคุยกับทางคุณสนธิเท่านั้น ส่วนตนยืนยันว่าไม่มีการยอมความแน่นอน