เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ สมัยที่ 2 ตลาดกังวลว่า สหรัฐจะประกาศถอนตัวออกจากความตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งหากเป็นไปตามคาด ก็ประเมินว่าโลกการลงทุนอย่างยั่งยืน หรือ ESG อาจสั่นสะเทือน หมายความว่านักลงทุนทั่วโลกควรพิจารณาปรับกลยุทธ์การลงทุน เพราะเม็ดเงินลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมีโอกาสเคลื่อนย้ายจากสหรัฐ สู่ภูมิภาคอื่น ขณะที่อีกมุมของโลกเมื่อจีนประกาศแผนลงทุนพลังงานสะอาดด้วยเงินลงทุนมูลค่ามหาศาล สะท้อนให้เห็นว่าเอเชียกำลังกลายเป็นจุดหมายปลายทางใหม่ของเงินลงทุน ESG และอาจเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของการลงทุนอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชีย

การเปลี่ยนแปลงของเม็ดเงินลงทุน ESG

ปัจจุบันบริษัทเอกชนไทยหลายแห่งออกหุ้นกู้สีเขียว (Green Bond) อย่างต่อเนื่อง เหตุผลสำคัญ คือ นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจลงทุนในโครงการพลังงานสะอาดในเอเชียมากขึ้น และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเม็ดเงินลงทุน ESG ทั่วโลก

• การไหลของเงินลงทุนระหว่างภูมิภาค

บทวิจัยของ Morgan Stanley มองว่าจากนโยบายด้าน ESG ของทรัมป์ จะทำให้เม็ดเงินลงทุนกว่า 500,000 ล้านดอลลาร์ เริ่มเคลื่อนย้ายออกจากสหรัฐ โดยเฉพาะกองทุนรวมที่เน้นลงทุนด้านพลังงานสะอาดและความยั่งยืน ในขณะที่เอเชียกลับกลายเป็นดาวรุ่ง ด้วยเม็ดเงินลงทุน ESG ที่เพิ่มขึ้น 150% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (2565-2566) ด้านสถาบันการเงินยุโรปอย่าง BNP Paribas และ Deutsche Bank รายงานว่าประเทศในเอเชียกำลังทุ่มงบอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการพลังงานสะอาดและโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว ส่งผลให้กองทุนรวม ESG ทั่วโลก ต้องปรับพอร์ตครั้งใหญ่ ด้วยการลดน้ำหนักการลงทุนในสหรัฐอเมริกา และเพิ่มสัดส่วนในเอเชีย

• จีนกับการลงทุนพลังงานสะอาด

ปัจจุบันจีนได้ลงทุนในโครงการ Belt and Road Green Initiative มูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ โดยเน้นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาดในประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมทั้งทุ่มงบวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่และรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะและสถานีชาร์จทั่วประเทศ หรือ BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของจีน เตรียมลงทุน 4.2 พันล้านดอลลาร์ ในการสร้างโรงงานแบตเตอรี่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

• การแข่งขันด้านเทคโนโลยีสีเขียว

สงครามเทคโนโลยีสีเขียวกำลังทวีความเข้มข้น โดยจีนครองส่วนแบ่งตลาดแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) กว่า 60% ของโลก และควบคุมการผลิตแร่หายากที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมพลังงานสะอาดถึง 80% ทำให้สหรัฐอเมริกาและยุโรป ต้องเร่งหาพันธมิตรใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ผลกระทบต่อตลาดเอเชีย

• โอกาสของไทยในฐานะฐานการผลิตทางเลือก

ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา-จีน ประเทศไทยกำลังก้าวขึ้นมาเป็นฐานการผลิตทางเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม EV ที่ค่ายรถยนต์ต่างประเทศสนใจเข้ามาตั้งฐานผลิต เพราะมีความได้เปรียบจากฐานผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่แข็งแกร่ง เช่นเดียวกับนิคมอุตสาหกรรมสีเขียว เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่วางเป้าเป็น Carbon Neutral Zone ภายในปี 2570

• ห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน

ปัจจุบันองค์กรต่าง ๆ ได้นำแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่คำนึงถึงประเด็น ESG เข้ามาบูรณาการเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ หรือการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน (Sustainable Supply Chain) ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสลดความเสี่ยงและเป็นการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจอีกด้วย

• ตลาดทุนสีเขียวในภูมิภาค

ไตรมาส 1 ปี 2567 ประเทศในอาเซียนได้ออกตราสารหนี้สีเขียว 2.33 พันล้านดอลลาร์ ส่วนไตรมาส 2 ออกตราสารหนี้สีเขียว 3.51 พันล้านดอลลาร์ สำหรับในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2562 ออกตราสารหนี้สีเขียวเป็นครั้งแรก จนถึงปี 2566 มูลค่าการออกเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 23,000 ล้านบาท เป็น 179,866 ล้านบาท หรือเติบโต 8 เท่าในช่วงเวลาเพียง 5 ปี ขณะเดียวกันตลาดหุ้นไทย มีดัชนี SETESG เป็นดัชนีที่สะท้อนความเคลื่อนไหวของราคากลุ่มหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงปัจจัย ESG ดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

แนวทางการลงทุนในช่วงความไม่แน่นอน

• การเลือกบริษัทที่มีบรรษัทภิบาลแข็งแกร่ง

ในยุคที่นโยบาย ESG ถูกท้าทาย บริษัทที่มีบรรษัทภิบาลแข็งแกร่งจะเป็นเกราะป้องกันที่ดี ดูได้จากคุณภาพผู้บริหาร ระบบบริหารความเสี่ยงที่ได้มาตรฐานสากล หรือการได้รับรางวัลบรรษัทภิบาลดีเด่น เนื่องจากความโปร่งใสเป็นกุญแจสำคัญ โดยเฉพาะการเปิดเผยข้อมูล ESG โดยมีการรายงานตามมาตรฐาน GRI อย่างครบถ้วน ขณะที่ระบบบริหารความเสี่ยงต้องครอบคลุมทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล

• การลงทุนในธีมความมั่นคง

ในยุคที่โลกเผชิญความท้าทายด้านทรัพยากร การลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงกำลังน่าสนใจมากขึ้น เช่น ความมั่นคงทางอาหาร ด้วยการมองหาบริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ ระบบการผลิตอาหารที่ยั่งยืน และการตรวจสอบย้อนกลับผลิตภัณฑ์ ส่วนด้านพลังงาน ให้มองหาธุรกิจพลังงานทดแทนและระบบกักเก็บพลังงานมีแนวโน้มเติบโตสูง ขณะที่การบริหารจัดการน้ำอัจฉริยะกำลังเป็นที่ต้องการ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้การเข้าถึงน้ำสะอาดเป็นความท้าทายระดับโลก

• การบริหารความเสี่ยงระหว่างประเทศ

ควรกระจายการลงทุนในหลายภูมิภาคเพื่อลดความเสี่ยง โดยเฉพาะในตลาดเอเชียที่มีการเติบโตด้าน ESG สูง ควรพิจารณาลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน เช่น กองทุนรวมตราสารทุนที่ลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ซึ่งมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าทรัพย์สินที่ลงทุนในต่างประเทศ เน้นลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ ESG และความยั่งยืน กองทุนรวมผสมที่ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ต่างประเทศ มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินแบบยืดหยุ่นตามสถานการณ์ตลาด เน้นลงทุนในธีมความยั่งยืน หรือกองทุนรวมหุ้นเอเชีย ที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีสีเขียว มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินบางส่วน เช่น 50-70% ของมูลค่าทรัพย์สิน