ยุค “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี รอยร้าวอุณหภูมิทางการเมืองเริ่มเดือดเพิ่มขึ้น จนต้องคอยประสานผลประโยชน์ เคลียร์กันให้จบ รักษาดุลอำนาจให้ลงตัวตลอดเวลา
ความระหองระแหงระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ไล่ตั้งแต่วาทกรรม “อีแอบ” พรรคร่วมรัฐบาล ซึ่ง “ผู้นำทางจิตวิญญาณ“ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซัดเดือด กลางวงสัมมนาพรรคเพื่อไทยเมื่อช่วงกลางเดือน ธ.ค.2567 มีนัยยะสื่อถึงรัฐมนตรีพรรคร่วมรัฐบาลที่ลาประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วาระพิจารณาพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการทางภาษีระหว่างประเทศ ล็อกเป้าไปที่ “รวมไทยสร้างชาติ” เริ่มรุนแรงเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไม่มีใครกล้าแตกหักแน่นอน เพราะยังต้องพึ่งพาเสียงสนับสนุนกันต่อไป
ท่ามกลางกระแสข่าวปรับ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ พ้นครม. จน “นายใหญ่ทักษิณ“ ต้องรีบออกมาเคลียร์ชัดๆ ว่า “ไม่มี คุยกันรู้เรื่องไม่มีอะไรเลย พีระพันธุ์เขาเป็นคนตั้งใจ รู้จักกันมานาน เคยมีความคุ้นเคยกัน รู้เรื่องทุกเรื่อง และยังไม่มีปรับ ครม.ในช่วงนี้” แถมยังเผยถึงการพูดคุยกับลูกสาวสมทบสยบข่าวลือ ว่า “เขาบอกว่าอิ๊งค์ยังสบายๆ ถ้าทำงานกับ ครม.ชุดนี้ ไม่มีปัญหา ยังไปกันได้ดี”
สถานการณ์กระตุกต่อมอารมณ์ร้อนตั้งแต่ต้นปี ตามสไตล์เหลี่ยมโคตรเซียนสำแดงเดชความโหด ตามอารมณ์ฮึกเหิมปฏิบัติการหักหอกข้างแคร่แบบเนียนๆ “นายใหญ่” โชว์ดับฝันเกมปลุกปั่นปรับ ครม.จัดทัพการเมืองใหม่ ท่ามกลางกระแสจับตาคิวแต่งทัพใหม่ โนสน โนแคร์ แต่หลายฝ่ายวิเคราะห์กันว่านายห้างส่อไม่แคร์ แต่หากถึงแยกวัดใจ อาจต้องใช้ไม้เด็ดปรับ ครม.–ยุบสภา กดปุ่มรื้อโละล้างกระดาน จัดผังอำนาจใหม่รอบหน้าแน่นอน
สรุปแบบภาพรวมๆ ต่างฝ่ายต่างซ่อนดาบ พร้อมแทงหลังกันได้ตลอดเวลา ต้องตั้งรับแรงกระแทกให้ดี ถ้าเผลอการ์ดตก อาจถูกเสยร่วงได้ทุกเวลา พลอยกระทบเสถียรภาพรัฐบาล แม้เวลานี้ยังไม่ถึงขั้นแตกหัก เพราะยังไม่มีใครอยากเป็นฝ่ายค้าน หากเขี่ยบางพรรคออกไป จะทำให้เสียสมดุลการบริหารงานรัฐบาล และยิ่งในบรรยากาศที่ผลงานไม่โดดเด่น ตัว “นายกฯอิ๊งค์” ถูกวิจารณ์เรื่องวุฒิภาวะแบบนี้ นายใหญ่คงไม่คิดทำอะไรผลีผลามแน่นอน.