เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายณรงค์ชัย พนาจันทร์ อายุ 42 ปี อาชีพค้าขายก๋วยเตี๋ยว พร้อมผู้เสียหายประมาณเกือบ 30 ราย ตัวแทนกลุ่มผู้เสียหาย 250 ราย เข้าแจ้งความเอาผิด น.ส.ออย หลังถูกหลอกโอนเงินอ้างจะพาไปทำงานประเทศออสเตรเลีย รวมมูลค่าความเสียหาย 12 ล้านบาท

นายณรงค์ชัย เปิดเผยว่า วันนี้กลุ่มพวกตนมาแจ้งความดำเนินคดีกับ น.ส.ออย หลังถูกหลอกลวงชักชวนไปทำงานประเทศออสเตรเลีย ซึ่งตัว น.ส.ออย อ้างว่าทำงานในสถานทูตออสเตรเลียที่ประเทศไทย สามารถนำคนไปทำงานที่ออสเตรเลียได้ เพราะว่ามีช่องทางและมีโควตา จากนั้นก็มีการชักชวนกันปากต่อปาก โดยอาชีพที่ น.ส.ออย อ้างว่าจะพาไปทำงานนั้น ประกอบด้วย เกษตร พนักงานโรงแรม และเด็กเสิร์ฟร้านอาหาร โดยตนจะไปทำงานที่ร้านอาหาร จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 160,000 บาท โดยจะเก็บครั้งแรก 60,000 บาท ส่วนที่เหลือจะถูกหักจากเงินเดือนหลังไปทำงานเดือนละ 10,000 บาทจนครบ แต่ละอาชีพจะมีค่าใช้จ่ายไม่เท่ากัน เพราะน้องชายของตนที่จะไปทำอาชีพเกษตรที่ไร่สตรอเบอรี่และมะเขือเทศ มีค่าใช้จ่ายประมาณ 200,000 บาท ซึ่งภายหลังการโอนเงินแล้วหนึ่งสัปดาห์ ก็จะมีการทำเอกสารสัญญาจ้าง 5 ปี กับ 10 ปี โดยทุกคนก็จะโอนเงินเข้าบัญชีของ น.ส.ออย ซึ่งทุกคนก็มีหลักฐานการโอนเงินดังกล่าว

นอกจากนี้ ทุกคนยังนำพาสปอร์ตส่งให้ น.ส.ออย เก็บไว้ โดย น.ส.ออย อ้างว่าจะจัดการทุกอย่างให้ รวมไปถึงเรื่องวีซ่าด้วย ซึ่งการนัดหมายที่จะบินนั้นคือวันที่ 4 ม.ค. แต่ทางแรงงานทั้งหมดที่หลงเชื่อ เดินทางไปพักใกล้ๆ สนามบินสุวรรณภูมิ ตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค. โดย น.ส.ออย เปิดโรงแรมให้แรงงานทั้งหมด 250 คน พัก 1 คืน เพื่อไปตรวจยืนยันสุขภาพว่าเป็นโรคติดต่ออหิวาตกโรคหรือไม่ แต่เมื่อถึงวันที่นัดจะบิน น.ส.ออย ก็เดินทางมายังสนามบินสุวรรณภูมิ และอ้างว่าเอกสารการแพทย์ยังไม่พร้อม รอการยืนยันตอบรับจากประเทศออสเตรเลีย ซึ่งจะสามารถเดินทางได้อีกครั้งในวันที่ 10 ม.ค. ซึ่ง น.ส.ออย อ้างว่าในวันนี้ 6 ม.ค. จะนำเอกสารวีซ่าทั้งหมดมาแสดงความบริสุทธิ์ที่กองบังคับการปราบปราม แต่ล่าสุดก็ยังไม่สามารถติดต่อได้ ซึ่งทางกลุ่มตน มองว่าพฤติกรรมของ น.ส.ออย เข้าข่ายหลอกลวง ทำให้ตัดสินใจยกเลิกไม่ไปทำงานพร้อมขอเงินคืน ซึ่ง น.ส.ออย ยังได้อ้างว่าได้นำเงินทั้งหมดโอนไปให้ น.ส.ฟ้า ที่อ้างตัวว่าทำงานในสถานทูตออสเตรเลียเช่นกัน ซึ่งแต่เกิดเรื่อง ทางกลุ่มตนก็ไม่เคยพบตัว น.ส.ฟ้า เลยทำให้ไม่ทราบว่า น.ส.ฟ้า มีตัวตนอยู่จริงหรือไม่

ขณะที่ น.ส.น้อย หนึ่งในผู้เสียหาย ได้วิดีโอคอลไปหานายนุ ซึ่งเป็นน้าของ น.ส.ออย ผู้ก่อเหตุ ที่ตกเป็นเหยื่อถูกหลอกมาเช่นกัน ว่า นายนุ ได้ไปพักแถวบ้านของ น.ส.ออย เพราะเชื่อจนวินาทีสุดท้ายว่าพาสปอร์ตมีอยู่จริง และจะได้บินในวันที่ 10 ม.ค. แต่ภายหลังที่ทราบว่า น.ส.ออย ได้ขับรถออกจากบ้านพักย่านบางนาตั้งแต่ช่วงเช้า นายนุ จึงได้เข้าไปที่บ้านของ น.ส.ออย และพบว่า น.ส.ออย กับครอบครัวไม่อยู่แล้ว ซึ่งคิดว่าจะมาที่กองบังคับการปราบปรามพร้อมกัน แต่เกิดความสงสัยจึงได้เข้าภายในบ้าน พบพาสปอร์ตกองอยู่จำนวนหนึ่ง จึงจะนำพาสปอร์ตดังกล่าวมาที่กองบังคับการปราบปรามในวันนี้ ส่วนตอนนี้ น.ส.ออย อยู่ที่ไหนนั้น ตนไม่ทราบ โทรฯ ไปก็ไม่รับ และไม่ทราบอีกว่า น.ส.ออย มีครอบครัวคนอื่นอีกหรือไม่ เพราะไม่ได้สนิทกัน เพิ่งมารู้จักตอนนำเอกสารมาให้เซ็นที่บ้าน และเดินเรื่องไปที่ออสเตรเลีย และเก็บค่าใช้จ่าย และพูดชักชวนกันปากต่อปาก จึงเกิดความหลงเชื่อกันทุกคน.

ต่อมานายสนธยา กาลาศรี ผอ.กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เดินทางมาตรวจสอบกรณีดังกล่าว และได้เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า วันนี้ท่าน รมว.แรงงาน มีความห่วงใยต่อปัญหาที่ประชาชนคนไทยประสบปัญหาการถูกหลอกลวง จึงได้กำชับกรมการจัดหางานและหน่วยงานของกระทรวงแรงงาน ให้ช่วยกันประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ในการทำงานต่างประเทศที่ถูกต้อง ควบคู่กับการที่จะดำเนินคดีกับผู้ที่สร้างปัญหาหลอกลวงคนไปทำงานในต่างประเทศอย่างเด็ดขาด โดยปี 2567 ที่ผ่านมา สามารถดำเนินคดีกับนายหน้าเถื่อนได้ทั้งหมด 452 คน ซึ่งคนไทยถูกหลอก 608 คน รวม 26 ประเทศ และในส่วนกรณีที่เกิดปัญหาอย่างวันนี้ขึ้น เจ้าหน้าที่จะมีการรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง และจะดำเนินคดีกับตัวผู้ก่อเหตุ โดยจะมีการทำงานร่วมกับกองบัญชาการตำรวจสวนกลาง

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าได้มีการตรวจสอบบริษัทของ น.ส.ออย ว่ามีการจดทะเบียนถูกต้องแล้วหรือไม่ นายสนธยา ระบุว่า ขณะนี้มีการตรวจสอบเบื้องต้นยังไม่ทราบชื่อแน่ชัด แต่พอมีข้อมูลบ้างแล้ว แต่หากตรวจสอบแล้วมีบุคคลใดที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการในการร่วมกันหลอกลวงคนไปทำงานในต่างประเทศ ก็จะถูกดำเนินคดีในทุกราย อีกทั้งปัญหาในการถูกหลอกลวงมีหลากหลายกลุ่มในช่วงที่ผ่านมา แต่จะเป็นกลุ่มเดียวกันหรือไม่อย่างไร ต้องขอเวลาในการตรวจสอบข้อเท็จจริง

สำหรับกรณีนี้คาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน เพราะตอนนี้อยู่ในระหว่างการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานต่างๆ จากผู้เสียหาย เมื่อรวบรวมได้เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ก็จะดำเนินการตรวจสอบและก็จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ยืนยันว่าบริษัทของ น.ส.ออย ไม่มีการจดทะเบียนกับกรมการจัดหางานแต่อย่างใด ทั้งนี้หากผู้ใดประสงค์จะทำงานต่างประเทศ ขอให้ตรวจสอบให้ละเอียดรอบคอบก่อนจ่ายเงิน โดยสามารถตรวจสอบได้ทั้งชื่อบริษัทและประเทศที่จะไป รวมไปถึงบุคคลที่เป็นนายหน้าได้กับกรมการจัดหางาน ยืนยันเจ้าหน้าที่ทำงานอย่างเต็มที่.