กรุงเทพมหานคร (กทม.) อีกหน่วยงานท้องถิ่นที่มีอำนาจหน้าที่เป็น “นายทะเบียน” ในการ “จดทะเบียนสมรส” ให้กับคู่รัก ซึ่งนอกจากรายละเอียดเอกสารที่ต้องเปลี่ยนแปลงจาก “ชายหญิง” เป็น “คู่สมรส” แล้ว การทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติ เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเตรียมความพร้อมให้มากที่สุด เพื่อความถูกต้อง และราบรื่น
ที่ผ่านมา กทม.ติดเครื่องความพร้อมทั้งข้อกฎหมายและขั้นตอนแก่เจ้าหน้าที่ทั้ง 50 เขต แม้บางเขตเคยนำร่อง “จดแจ้งชีวิตคู่” มาแล้วก็ตาม โดย นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ยืนยันความพร้อมจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมว่า กทม.เป็นส่วนเล็กๆ ของการเดินทางอันยาวนานกับความเชื่อในความหลากหลายที่อยากให้ กทม.เป็นเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน
“เรื่องนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์กทม.ที่อยากให้เป็นเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน ซึ่งคำว่าทุกคนแม้จะมีความแตกต่างหรือหลากหลายอย่างไร ทุกคนก็ต้องอยู่เมืองนี้อย่างมีความสุขได้เหมือนกัน”
สำหรับกทม.เคยเปิดจดแจ้งชีวิตคู่มาแล้ว 294 คู่ ขณะนั้นกฎหมายยังไม่ครอบคลุมจึงเป็นเพียงการแจ้งความจำนง ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของวันนี้
ด้าน นางวันทนีย์ วัฒนะ ปลัด กทม. ระบุ ทันทีที่กฎหมายผ่านจากชั้นสภาผู้แทนราษฎรลงมา เริ่มมีข้อสั่งการจากผู้ว่าฯ ให้ศึกษาเตรียมการ โดยแจ้งถึงข้อกฎหมายส่งต่อให้สำนักทะเบียน 50 เขต ไปศึกษารายละเอียดและประสานใกล้ชิดกับกรมการปกครอง ซึ่งขณะนี้ถือว่าระบบพร้อมแล้ว โดยแบบฟอร์มต่างๆ ใช้ฟอร์มเหมือนกันทั้งหมด ไม่ว่าบุคคลจะเป็นชายหญิง ชายชาย หรือหญิงหญิง หรือบุคคลใดก็ตามที่มีสิทธิตามที่กฎหมายกำหนด
นอกจากนี้ ที่จัดเตรียมเพิ่มเติมคือ การเชิญวิทยากรจากกรมการปกครองเข้าชี้แจงกับหัวหน้าฝ่ายทะเบียน 50 เขตแบบลงรายละเอียด โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายและระเบียบเกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการดำเนินการ
“เป็นเรื่องจำเป็นกับการเสริมความเข้าใจอย่างอ่อนโยนกับความหลากหลายทางเพศ การสื่อสาร การสอบถาม เรียกว่าเป็น Soft Skill ของผู้ปฏิบัติ นอกเหนือจากกฎหมายและกฎระเบียบที่ต้องดำเนินการ”
อย่างไรก็ตาม ประเด็นหลักๆ ของการจดทะเบียนคือ เรื่องคุณสมบัติของผู้จดที่จะทำได้เมื่อบุคคลสองฝ่ายมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์แล้ว หากอายุไม่ถึง 18 ปี มีเหตุจำเป็นอย่างไรต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง ที่สำคัญยังมีเงื่อนไขรายละเอียดที่ต้องชัดเจน ดังนี้
1.ไม่เป็นบุคคลวิกลจริต หรือเป็นบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ 2.บุคคลสองซึ่งเป็นญาติสืบสายโลหิตโดยตรงขึ้นไปหรือลงมา เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาหรือร่วมแต่บิดาหรือมารดา ซึ่งความเป็นญาติดังกล่าวนี้ให้ถือตามสายโลหิต โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นญาติโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
3.ผู้รับบุตรบุญธรรมกับบุตรบุญธรรมจะสมรสกันไม่ได้ 4.บุคคลที่ยังมีคู่สมรสอยู่ 5.หญิงที่ชายผู้เป็นคู่สมรสเสียชีวิต หรือที่การสมรสสิ้นสุดลงด้วยประการอื่นจะทำการสมรสใหม่กับชายได้ต่อเมื่อการสิ้นสุดแห่งการสมรสได้ผ่านพ้นไปแล้วไม่น้อยกว่า 310 วัน เว้นแต่มีการคลอดบุตรแล้วในระหว่างนั้น หรือสมรสกับคู่สมรสเดิม หรือมีใบรับรองแพทย์ประกาศนียบัตร หรือปริญญาซึ่งเป็นผู้ประกอบการรักษาโรคในสาขาเวชกรรมว่ามิได้มีครรภ์ หรือมีคำสั่งของศาลให้สมรสได้
6.การสมรสจะทำได้ต่อเมื่อบุคคลทั้งสองคนยินยอม และต้องแสดงการยินยอมนั้นให้ปรากฏโดยเปิดเผยต่อหน้านายทะเบียนและให้นายทะเบียนบันทึกความยินยอมนั้นไว้ด้วย ส่วนเอกสารที่ใช้ หากเป็นคนไทยใช้บัตรประจำตัวประชาชน หรือเอกสารในแอปพลิชันไทย ID ส่วนคนต่างชาติใช้เป็นพาสปอร์ต และมีเอกสารหนังสือรับรองจากสถานทูตว่าไม่เคยมีการจดทะเบียนสมรสมาก่อน
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียม จึงขอให้คู่รักที่ประสงค์จดทะเบียนสมรสลงทะเบียนล่วงหน้า โดยยื่นคำร้องต่อนายทะเบียน เพื่อตรวจสอบเอกสารก่อนได้ที่สำนักงานเขตทุกแห่ง
เปิดสิทธิหลัง “สมรสเท่าเทียม”
1.มีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูซึ่งกันและกัน 2.มีสิทธิใช้ชื่อ-สกุลของคู่สมรสอีกฝ่าย 3. มีสิทธิจัดการทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส 4.มีสิทธิรับมรดกของคู่สมรสเมื่ออีกฝ่ายเสียชีวิต มีสิทธิรับเงินจากทางราชการ หรือนายจ้าง เช่น กรณีที่คู่สมรสเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ หรือทำงาน (บำเหน็จตกทอด) หรือรับเงินสงเคราะห์บุตรตามกฎหมายแรงงาน
4.มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหาย หรือค่าทดแทนจากผู้ทำให้คู่สมรสตัวเองเสียชีวิตได้ 5.เรียกร้องสิทธิของตัวเองได้ตามกฎหมาย เมื่อพบว่าคู่สมรสมีชู้ เรียกค่าเสียหายได้ทั้งจากคู่สมรสและชู้ 6.ได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้ตามเงื่อนไขลดหย่อน
7.คู่สมรสที่ทำความผิดระหว่างกัน เช่น สามีขโมยเงินภรรยา ภรรยาบุกบ้านสามี ผู้ทำผิดไม่ต้องรับโทษตามกฎหมาย 8.การจดทะเบียนทำให้คู่สมรสฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้ที่ทำร้ายคู่สมรสตัวเองได้ เช่น หากคู่สมรสฝ่ายหนึ่งถูกโจรปล้น คู่สมรสอีกฝ่ายสามารถฟ้องร้องดำเนินคดีแทนได้.
ทีมข่าวอาชญากรรม รายงาน