จากพยากรณ์นักเศรษฐศาสตร์ไทย คาดว่าเศรษฐกิจโลกปี 2568 จะขยายตัว 3.2% จากแรงหนุนเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่ง แต่ยังมีนโยบายกีดกันทางการค้าเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดทิศเศรษฐกิจทั่วโลก ขณะที่เศรษฐกิจไทยคาดว่าเติบโต 3.0% ด้วยแรงหนุนจากรายจ่ายและการลงทุนภาครัฐ เอกชนที่กลับมา การท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง และนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายขึ้น ส่วนปัจจัยเสี่ยงต้องให้น้ำหนักไปที่สงครามการค้ารอบใหม่ และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ทรงตัวในระดับสูง รวมถึงคุณภาพของสินเชื่อที่ด้อยลงต่อเนื่อง

หุ้นไทยยังผันผวนต่อ
ส่วนภาพของการลงทุนด้าน “ตลาดหุ้นไทย” ปี 2568 นั้น บรรดากูรูนักวิเคราะห์ต่างมองว่ายังต้องเจอกับความผันผวน หลังจากที่ปี 2567 เผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยทั้ง ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและนโยบายการเงินที่เข้มงวดของธนาคารกลางทั่วโลก ส่งผลให้ต้นทุนการเงินสูงขึ้น และสร้างแรงกดดันต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ
รวมทั้งภาวะความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน และความไม่สงบในตะวันออกกลาง ยังส่งผลให้ราคาพลังงานและต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น และยังมีปัญหาการทุจริตของในบริษัทจดทะเบียน อย่าง กรณีหุ้นสตาร์ค อีเอ และหมอบุญ ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อตลาดเงินตลาดทุนยิ่งเสื่อม ส่งผลให้เผชิญกับความไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี
โดยช่วงต้นปี 2568 นี้ ยังต้องเจอกับกองทุนรวมระยะยาว (แอลทีเอฟ) มูลค่า 2.3 แสนล้านบาท ที่จะครบกำหนด จากคนที่ถือแล้วครบกำหนดแอลทีเอฟประมาณ 1.6 แสนล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นแอลทีเอฟใหม่ที่ครบกำหนด และถือครองตามกฎหมายช่วงต้นปีประมาณ 6-7หมื่นล้านบาท ที่อาจมีแรงขายทำกำไรออกมาบ้างส่วน จากนั้นเริ่มเห็นการคาดการณ์ผลประกอบการกำไรบริษัทจดทะเบียนซึ่งคาดหวังเชิงบวก
ต้องเกาะติดทรัมป์2.0
อย่างไรก็ตามการที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการนั้น จะต้องจับตาว่าท่าทีที่ออกมาในการเดินนโยบายนั้น จะเป็นไปตามที่ทุกคนกลัวหรือไม่ จากนั้นถัดไปอีกระยะหนึ่ง ต้องติดตามสถานการณ์การเมืองกัน ซึ่งมีโอกาสที่ทำให้ดัชนีหุ้นยังเหวี่ยง
แนะนำนักลงทุนเน้นกระจายการลงทุนไปในตราสารหนี้เป็นหลัก ส่วนที่เหลือให้น้ำหนักในหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศ สัดส่วน 20% โดยให้เน้นลงทุนใน “หุ้นกลุ่มปลอดภัย” ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ความเสี่ยงต่ำ และจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ เพื่อรับมือกับเศรษฐกิจสหรัฐที่คาดว่าจะชะลอตัวลงต่อเนื่องและปรับตัวต่ำสุดในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 เช่น กลุ่มที่เน้นการบริโภคและการใช้จ่ายประจำวัน กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มท่องเที่ยว
อีกทั้ง “ควรระมัดระวัง” การลงทุนในกลุ่มยานยนต์ เพราะธนาคารและไฟแนนซ์ยังคุมเข้มเรื่องการปล่อยกู้ และการเปลี่ยนพฤติกรรมมาสู่รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ส่วนการลงทุนในกลุ่มปิโตรเคมี ในภาพรวมยังไม่ดี ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและจีน ประกอบกับบริษัทในเอเชียมีการขยายกำลังการผลิตในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จึงมองว่าจะสร้างแรงกดดันต่อ

เห็นทองคำ5หมื่นบาท
ขณะที่ “ราคาทองคำ” ปี 2568 กูรูทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่ายังไปต่อได้ถึง 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งหากแปลงเป็นเงินบาทไทย ก็ประมาณ 50,000 บาท โดยที่ค่าเงินบาทอ่อนขึ้นไปแตะ 35.50 บาท อีกทั้งยังคงต้องมีเรื่องภูมิรัฐศาสตร์หรือสงครามระหว่างประเทศระหว่างอิหร่าน-อิรัก เข้ามาเกี่ยวข้องและต้องรุนแรงขึ้นด้วย อีกทั้งเศรษฐกิจสหรัฐหรือนโยบายของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ด้านการขึ้นกำแพงภาษี มีโอกาสทำให้เกิดเงินเฟ้อ และจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชะลอการลดดอกเบี้ย หลังการประชุมเฟดครั้งล่าสุด ได้มีการส่งสัญญาณว่าจะชะลอการปรับลดดอกเบี้ย เหลือเพียง 2 ครั้ง จากเดิมที่มองว่าจะปรับลดลงถึง 4 ครั้ง
ด้านราคาสินค้าเองก็จะแพงขึ้น และคนตกงานค่อนข้างสูง รวมทั้งสภาวะต่างๆ ที่ ทรัมป์ มองว่าดีมันอาจจะไม่ดีอย่างที่คิด สหรัฐอาจขาดดุลงบประมาณมากขึ้น และจะทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น เพราะมีองค์ประกอบค่อนข้างเยอะ รวมถึงยังอาจตอบโต้จากประเทศที่มองว่าถูกสหรัฐรังแกด้วย
“ฉะนั้นทุกอย่างก็เหมือนน้ำที่ไหลไปไหลมา แม้ก่อนหน้านี้หลายคนกังวลกระแสของทรัมป์ จะกระทบค่อนข้างแรงกับราคาทองคำที่อาจจะร่วงลงได้ แต่หากมองในระยะต่อไป หากนโยบายของทรัมป์ไม่สัมฤทธิผลจริงๆ ก็จะเกิดกระแสที่แรงกลับมา ราคาทองคำก็จะเหวี่ยงกลับขึ้นไปได้อีก”
โรคใหม่มาแรงกว่าโควิด
ส่วนปัจจัยบวกที่ยังต้องติดตามเป็นเรื่อง “โรคเอ็กซ์” ซึ่งเป็นโรคระบาดใหม่ที่อยู่ในคองโก แม้ยังไม่ค่อยมีคนพูดถึงมากนัก แต่องค์การอนามัยโลกเริ่มออกมาเตือนแล้วว่า โรคเริ่มกระจายไปที่ประเทศอิตาลี คนติดเชื้อประมาณ 400 คน ผู้เสียชีวิตประมาณ 40 คน โดยอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าโรคระบาดโควิด-19 ค่อนข้างมาก โดยระบุไม่ได้ว่าเป็นโรคติดต่อทางใด หากติดต่อผ่านทางเดินหายใจเหมือนโควิด-19 และระบาดมากขึ้น จะเป็นปัจจัยบวกกับราคาทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
ดังนั้น ในปี 2568 หากจะลงทุนทอง แนะนำให้ซื้อขายในกรอบแนวรับ 2,420 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แนวต้าน 2,730 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำในประเทศกรอบแนวรับ 39,320 บาท แนวต้าน 44,900 บาท

คริปโตฯโดดเด่น
สำหรับ “คริปโตเคอร์เรนซี” หรือ “สินทรัพย์ดิจิทัล” ที่เริ่มกลับมาร้อนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดช่วงท้ายปี 2567 หลังจากที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ จนราคาเหรียญบิตคอยน์ขยับขึ้นมาแตะระดับ 3 ล้านบาทต่อเหรียญ สร้างสถิติราคาครั้งใหม่ไปหลายรอบ จากนโยบายหาเสียงของทรัมป์ ที่ให้คำมั่นว่าจะออกกฎระเบียบที่เป็นมิตรกับคริปโตฯ รวมถึงการจัดตั้งคลังบิตคอยน์สำรองของสหรัฐ และการสนับสนุนการขุดคริปโตฯ ภายในประเทศ
ในปี 2568 เหล่ากูรูก็ยังมองว่าจะเป็นปีทองของตลาดคริปโตฯ โดย “ท็อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป บอกว่า ทุกๆ 4 ปี ก็จะเป็นวัฏจักรราคาที่ปรับตัวขึ้น จากเมื่อปี 2556 ตามด้วยปี 2560, ปี 2564 และปี 2568 จะเป็นปีทองของสินทรัพย์ดิจิทัล แม้ในระยะสั้น อาจเกิดเหตุการณ์ที่ปรับตัวลงบ้าง แต่ในระยะยาวมองว่า จะมีทรัมป์เป็นประธานาธิบดี หรือไม่มีทรัมป์ ก็เป็นวงจรการขาขึ้นของตลาดคริปโตฯ อยู่แล้ว
“ส่วนเรื่องการใช้บิตคอยน์เป็นกองทุนสำรองรัฐบาลสหรัฐนั้น ขึ้นอยู่ที่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เพียงแต่การที่ ทรัมป์ ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนล่าสุด ช่วยให้เกิดเร็วขึ้นเท่านั้น เพราะแนวโน้มเป็นไปในทิศทางนี้อยู่แล้ว หรือพูดง่ายๆ ก็คือ วงการสินทรัพย์ดิจิทัลไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเป็นความตายของทรัมป์ เพราะเป็นการพัฒนาไปข้างหน้าของเทคโนโลยี”
ต้องยอมรับว่า…เรื่องการลงทุนนั้นไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น ตลาดทองคำ หรือคริปโตเคอเรนซีนั้นย่อมมีความเสี่ยง ดังนั้นก่อนลงทุนต้องมี “สติ” เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะหมดตัว!!