เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ “South China Morning Post” รายงานว่า ร้านหม้อไฟหมาล่าในมณฑลเสฉวน ประเทศจีน ถูกเจ้าหน้าที่ทางรัฐบาลจีนสั่งตรวจสอบลงโทษ หลังมีรายงานว่าแอบนำซุปหมาล่าที่ลูกค้ากินเหลือ มาสกัดเอาน้ำมันกลับมาผสมกับซุปหมาล่าเสิร์ฟให้ลูกค้ารายอื่น ๆ กินต่อ
โดยรายงานข่าวระบุว่า เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ที่ผ่านมา ทางสำนักงานควบคุมตลาดในเมืองหนานชง มณฑลเสฉวน ได้รับร้องเรียนจากลูกค้าร้านอาหารดังกล่าวว่ามีการนำน้ำมันหมาล่าที่ลูกค้ากินซุปเหลือมาสกัดเอาน้ำมันเก่าในหม้อออกมาเสิร์ฟให้ลูกค้ารายอื่น จึงนำกำลังบุกเข้าตรวจ
จากการตรวจสอบสามารถยึดไขวัวรีไซเคิล 11.54 กิโลกรัม จากห้องครัวรวมถึงมีการตรวจสอบซุปอีก 4 หม้อที่ทางร้านต้มเสร็จแล้ว ซึ่งภายในหม้อมีไขวัวที่ดูแตกต่างจากไขวัวในหีบห่อ ที่หาซื้อได้ทั่ว ๆ ไป

สอบสวนเจ้าของร้าน เบื้องต้นยอมรับว่าตั้งแต่เดือนกันยายน ที่ผ่านมา ทางร้านแอบใช้น้ำมันพริกหมาล่าจากซุปที่มีลูกค้ากินเหลือ มาผสมกับน้ำมันพริกใหม่จริง เพื่อปรับปรุงรสชาติให้เข้มข้นลดต้นทุนเนื่องจากธุรกิจที่กำลังย่ำแย่
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ยึดวัถตุดิบที่มีการรีไซเคิลทั้งหมด ส่งไปให้ตำรวจท้องถิ่นสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายแล้ว
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทางการจีนบุกตรวจสอบร้านหม้อไฟ ที่มีพฤติกรรมดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมีการนำเสนอข่าวออกไป มีชาวโซเชียลเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันจำนวนมาก
อาทิ “มันเป็นเรื่องปกติที่ตามร้านหม้อไฟ จะผสมน้ำมันเก่าเข้ากับน้ำมันใหม่ เป็นการเพิ่มรสชาติให้จัดจ้านขึ้น”
บางรายระบุว่า “เป็นสูตรลับกันในหมู่นักชิม แต่ก็ยังไปใช้บริการ เพราะหม้อไฟที่ไม่มีน้ำมันเก่านั้นไม่อร่อย”
ชาว”เสฉวนรายหนึ่งระบุว่า “อาจเหตุผลที่ซุปซึ้อห่อกลับไปกินไม่อร่อยเท่าไปกินตามร้าน ก็เพราะน้ำมันรีไซเคิลพวกนี้แหละ”

อีกรายระบุว่า “ยอมรับเรื่องที่ทางร้านเอาน้ำมันเก่ามาใช้ซ้ำได้ แต่ต้องผ่านการกรองและต้องผ่านอุณหภูมิสูงๆ มาแล้ว”
ขณะที่บางคนให้ข้อมูลว่า”การนำน้ำมันเก่ากลับมาใช้ใหม่แบบดังเดิมนั้น จะต้องนำซุปที่เหลือไปอุ่นร้อนๆและกรองก่อนแล้วนำมาผ่านความร้อน มากกว่า 115 องศาเซลเซียส”
แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีชาวเน็ตอีกส่วนยอมรับการกระทำดังกล่าวของทางร้านไม่ได้เนื่องจากเชื่อว่าเป็นสิ่งสกปรกอาจติดเชื้อได้หากรับประทานเข้าไป จากการบริโภคอาหารที่เหลือใช้กลับมาปรุงเป็นอาหารใหม่ลักษณะดังกล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก South China Morning Post