ก้าวย่างเข้าสู่ปี 2568 ในแง่ทางการเมืองหลายคนเชื่อว่า จะมีความร้อนแรงมากกว่าปีที่ผ่านมา เพราะพรรคฝ่ายค้านที่นำโดย “ประชาชน (ปชน.)” มี “เท้ง” นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ รับบทแม่ทัพ ประกาศไว้แล้วว่า จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร โดยประกาศพร้อมรับมือข้อมูลความไม่ชอบมาพากลจากประชาชน ซึ่งถือเป็นบทพิสูจน์บารมีและการยอมรับ ในฐานะผู้นำพรรคฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร หลังเมื่อช่วงปลายปีเพิ่งได้รับฉายาจากสื่อมวลชนสายรัฐสภา “เท้งเต้ง” โดยขยายความตอนหนึ่งว่า การทำงาน-พฤติกรรมของผู้นำฝ่ายค้านฯ ป้ายแดง ที่ถูกมองว่า ไม่โดดเด่นเท่าลูกพรรคหลายคน “ดูเคว้งเท้งเต้ง” ซ้ำยังเหมือนฝ่ายค้านพรรคเดียว ดังนั้นการทำหน้าที่เป็นแม่ทัพ ในการทำหน้าที่ตรวจสอบฝ่ายบริหาร จึงถือว่ามีความสำคัญ

ถ้าทำหน้าที่ได้ดี ก็จะเป็นคุณกับพรรคต้นสังกัด และพรรคร่วมฝ่ายค้าน แต่ถ้าชกไม่สมราคา ทำหน้าที่ไม่สมศักดิ์ศรี ก็จะเป็นผลลบ และมีผลต่ออนาคตพรรคสีส้ม ซึ่งตั้งเป้าหมายการเลือกตั้งครั้งหน้า ต้องได้สส. 270 เสียง เพื่อได้เป็นแกนนำรัฐบาล และสร้างความมั่นใจได้เป็นแกนนำรัฐบาลแน่ๆ แม้ไม่มีพรรคการเมืองไหนยอมจับมือจัดตั้งรัฐบาลด้วย เพราะต้องเผชิญกับคู่ต่อสำคัญอย่าง “พรรคเพื่อไทย (พท.)” ที่มี น.ส.แพทองธาร เป็นหัวหน้าพรรค และได้ “นายทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ มาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยหาเสียงในการเลือกตั้งทุกสนาม

โดย “นายณัฐพงษ์” ให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมการทำงานของฝั่งรัฐบาล ว่า พรรคร่วมรัฐบาลเกิดขึ้นจากสิ่งที่เรียกว่าการตกลงผลประโยชน์ร่วมกัน ขณะเดียวกัน พรรค พท.ไม่สามารถกำหนดทิศทางได้ หลายครั้งที่พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ไม่เห็นด้วย จนทำให้ทิศทางของรัฐบาล ไม่สามารถขับเคลื่อนได้เต็มประสิทธิภาพ คิดว่าเกิดจากการจัดตั้งรัฐบาลผสมพันธุ์ข้ามขั้วตั้งแต่ตอนแรก ส่งผลมาถึงปัจจุบัน ทำให้พรรค พท.ไม่สามารถผลักดันนโยบายที่หาเสียงไว้ได้อย่างเต็มที่ เมื่อถามว่าในปี 2568 มีโอกาสที่รอยร้าวของพรรคร่วมจะขยายขึ้น ทำให้รัฐบาลสั่นคลอนหรือล้มลงได้หรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า มีโอกาสมาก สิ่งนี้เองตนคิดว่าเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ฝ่ายค้านจะเป็นแว่นขยายทำให้เห็นรอยร้าวได้อย่างชัดเจนมากขึ้น ตนคิดว่าเรื่องนี้รัฐบาลจัดการได้ยาก ฝ่ายค้านจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่ อีกประเด็นที่ตนคิดว่าสำคัญคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (รธน.) เรื่องนี้จะผลักดันได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับพรรค ภท.ด้วย

ต้องรอดูว่าเป้าหมายแกนนำพรรคฝ่ายค้าน จะทำสำเร็จหรือไม่ โดยเฉพาะการขยายรอยร้าวให้เกิดขึ้นในพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งคงหวังผลถึงเอกภาพในการทำงานฝ่ายบริหาร เพราะ พท.และภท. ที่มี “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ เป็นหัวหน้าพรรค ถือเป็นพรรคที่มีเสียงมากเป็นอันดับหนึ่งและสอง ถ้าหากเกิดปัญหาขึ้นย่อมส่งผลกระทบกับเสถียรภาพรัฐบาล หรือการเปิดข้อมูลในศึกซักฟอก จะมีประเด็นเกี่ยวข้องกับความไม่ชอบมาพากล หรือปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นหรือไม่ เพราะถ้ามีหลักฐานเป็นใบเสร็จ จะทำให้สังคมเชื่อถือพอสมควร ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา รัฐบาลหลายชุดต้องมีอันเป็นไป เพราะปัญหาทุจริตและคอร์รัปชั่นมาแล้ว

แต่ที่ต้องลุ้นกันคือ มีสส. 44 คนในสมัยยังสังกัดพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ปัจจุบันมาทำงานในนาม “พรรคปชน.” ลงชื่อแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งอยู่ในระหว่างการตรวจสอบจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดย “นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ” เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวถึงการพิจารณาเรื่องร้องเรียนจริยธรรมร้ายแรง 44 สส. อดีตพรรค ก.ก. ที่ร่วมลงชื่อเสนอร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า ได้ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง รวบรวมหลักฐานใกล้จะแล้วเสร็จ คาดว่าเดือน ม.ค. 2568 คณะอนุกรรมการไต่สวนจะสามารถสรุปสำนวน เพื่อเสนอเข้าที่ประชุม ป.ป.ช.ชุดใหญ่ได้ ซึ่งการสรุปสำนวนจะมี 2 แนวทาง หากเห็นว่า มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแจ้งข้อกล่าวหา ก็เสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหา หากเห็นว่า ไม่มีมูลเพียงพอ ก็จะสรุปสำนวนให้ข้อกล่าวหาตกไป

ซึ่ง “นายณัฐพงษ์” ถือเป็นหนึ่งใน สส.ที่ร่วมลงชื่อแก้ไขมาตรา 112 คงต้องมารอดูว่า จะได้รับผลกระทบจากคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช. หรือไม่ ซึ่งถ้าถูกแจ้งข้อกล่าวหาด้วย ย่อมมีผลกระทบในฐานะผู้นำทัพในการตรวจสอบฝ่ายบริหารด้วยแน่ๆ ซึ่งต้องรอจับตาดู

ส่วนการปรับแนวทางในการทำงานของรัฐบาล ในกระบวนการด้านนิติบัญญัติ “นายชูศักดิ์ ศิรินิล” รมต.ประจำสำนักนายกฯ ในฐานะมือกฎหมายรัฐบาล กล่าวถึงการเสนอกฎหมายต่อสภาผู้แทนราษฎรในนามรัฐบาลว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการเร่งรัดจัดทำกฎหมายตามนโยบายรัฐบาล มีตนเป็นประธาน โดยคณะกรรมการได้ลิสต์รายชื่อกฎหมายที่จำเป็นเร่งด่วน 16 ฉบับเสนอ ครม.ว่าจะเร่งรัดติดตามโดยใช้วิธี fast track คือเร่งรัดกระบวนการขั้นตอนต่างๆ ให้เร็วขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เช่น ในชั้นยกร่าง ชั้นสำนักเลขาธิการนายกฯ ชั้นกฤษฎีกา และคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) โดยมีตัวอย่างร่างกฎหมายที่เสนอเข้าสู่กระบวนการเร่งรัด เช่น พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตและการให้บริการประชาชน พ.ร.บ.ตั๋วร่วม พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ร.บ.ส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ ที่เรียกกันว่า พ.ร.บ.THACCA และพ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ โดยทั้งหมดจะเร่งรัดให้เข้าพิจารณาในสภาสมัยประชุมนี้

นายชูศักดิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับนโยบายในการจัดทำ รธน.ฉบับใหม่ ได้รับการประสานจากประธานรัฐสภาว่า จะใช้อำนาจบรรจุร่าง รธน. แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 เพิ่มหมวด 15/1 ให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่พรรคประชาชน (ปชน.) เสนอ และประสานขอให้พรรคเพื่อไทย (พท.) และพรรคอื่นๆ เสนอด้วย เพื่อจะได้พิจารณาไปพร้อมกัน เรื่องนี้มีความหมายว่า ถ้าทำได้สำเร็จจนแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 และมีส.ส.ร. จะนำไปสู่การทำประชามติเพียงสองครั้ง ซึ่งอาจทำให้สามารถทำ รธน.ฉบับใหม่ได้ทันก่อนรัฐบาลชุดนี้หมดวาระ โดยพรรค พท.จะนำหารือในที่ประชุมพรรคในวันที่ 7 ม.ค. 2568

ต้องรอดูในสมัยการประชุมสภาสมัยนี้ รัฐบาลจะสามารถผลักดันกฎหมายให้มีผลบังคับใช้ได้มากขนาดไหน หลังถูกแกนนำพรรคฝ่ายค้านข่มมาตลอด เพราะกฎหมายก็ถือเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างผลงานของรัฐบาล เพราะเป็นกลไกสำคัญ เพื่อนำไปสู่แนวทางปฏิบัติ

ที่น่าสนใจคือ ความเห็นนักการเมืองอาวุโสอย่าง “นายชวน หลีกภัย “ สส.บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ถูกวิจารณ์ว่าจะทำให้บ้านเมืองปั่นป่วนว่า เราต้องถามว่ารัฐบาลที่มีอำนาจในการจัดการ ทำไมปล่อยให้คนที่ทำให้เสียหายต่อส่วนรวมลอยนวลอยู่ได้ ความจริงกรณีของนายทักษิณ ต้องถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งใหญ่ จะมีสักกี่คนที่ได้ลดโทษจาก 8 ปี เหลือ 1 ปี เราไม่เคยได้ยินเลย ฉะนั้นเมื่อได้รับสิ่งนี้แล้ว น่าจะสนองตอบพระมหากรุณาธิคุณ โดยปฏิบัติไปตามที่ได้รับพระราชทานมาอย่างเคร่งครัด เมื่อได้รับลดโทษเหลือ 1 ปี ก็ต้องติดคุก 1 ปี ไม่ใช่หาทางเลี่ยงออกไปอย่างนี้ แต่ต้องไปดูที่องค์กรทั้งหลาย ที่ทำให้คำวินิจฉัยนั้นปฏิบัติได้หรือไม่ นายทักษิณเป็นส่วนประกอบ ตัวเสริมสนับสนุน แต่องค์กรคือผู้ปฏิบัติ รัฐบาลจะไปประมาท ด้วยความเชื่อว่าสามารถคุมได้หมด แต่ก็ต้องระวัง

ส่วนความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ กับที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ จะมีผลกระทบต่อรัฐบาลหรือไม่ นายชวน ให้ความเห็นว่า ตนเข้าใจว่าพวกเขาต่างคนต่างอยู่ ทั้งนี้ พรรคประชาชาติ (ปช.) เคยอภิปรายเรื่องเขากระโดงไว้หนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ในฐานะหัวหน้าพรรค ปช. เคยอภิปรายเรื่องนี้สมัยที่เป็นฝ่ายค้าน แต่วันนี้ปัญหาคือต่างคนต่างอยู่ จึงไม่นำมาพูดกัน

แต่ที่ได้ยินความเห็นอดีตนายกฯ เป็นครั้งแรก คือเรื่องการทำเอ็มโอยู 44 ในสมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร เมื่ออดีตนายกฯ ถูกถามถึงการชุมนุมของกลุ่มนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่พุ่งเป้าประเด็นบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู 44 ) นายชวน กล่าวว่า ได้ก็ติดตามว่าทำไมครม.สมัยรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีมติยกเลิกเอ็มโอยูฉบับนี้ ซึ่งนายอภิสิทธิ์อธิบายให้ฟังว่า ทางกระทรวงการต่างประเทศในสมัยนั้นไม่เห็นด้วยกับเอ็มโอยูดังกล่าว แต่เมื่อเป็นความต้องการของฝ่ายการเมืองก็ต้องทำ เขาคงรู้แล้วว่าที่ไปทำไว้ มีอะไรที่เป็นจุดอ่อนจุดแข็ง ทำให้เสียเปรียบ แต่ข้อตกลงนี้มีข้อหนึ่งระบุไว้ว่าหากจะหาผลประโยชน์ร่วมกัน จะต้องทำให้ข้อตกลงเรื่องเขตแดนจบก่อน ซึ่งนายอภิสิทธิ์ยังเล่าอีกว่า เคยสอบถามข้าราชการขณะนั้นว่า ปัญหาคือรมว.การต่างประเทศทำไป เพราะเกรงใจนายทักษิณหรือไม่ ปัญหาคือความสัมพันธ์ส่วนตัวถึงขั้นมาขอให้ยอม มันเป็นข้อเท็จจริง และคงมีข้อยุติในวันใดวันหนึ่ง คนที่รู้ก็จะต้องเปิดเผยออกมา

คงต้องรอฟังผู้ที่เกี่ยวข้อง ในการทำเอ็มโอยู 44 จะชี้แจงการตั้งข้อสังเกตของ “นายชวน หลีกภัย” อดีตนายกฯ อย่างไร เพราะถือเป็นปมร้อนที่แกนนำ พธม. และบางพรรคใช้เป็นประเด็นเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกข้อตกลงดังกล่าว

“ทีมข่าวการเมือง”