นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตประธานรัฐสภา ดูเหมือนคือสัญลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเป็น สส.มาอย่างยาวนาน มีบุคลิกนุ่มนวล สุภาพ แต่เฉียบคมทั้งความคิดและคำพูด เมื่อผู้สื่อข่าวได้ขอให้ “นายหัวชวน” ประเมินสถานการณ์รัฐบาลปี 68 ได้รับคำตอบว่า “ความมั่นคงของการเมืองยังเป็นปกติ จำนวน สส.มี 493 คน ฝ่ายรัฐบาลที่มีเสียงข้างมากมี สส. 322 คน พรรคร่วมรัฐบาลไม่มีท่าทีจะถอนตัวจากรัฐบาล พรรคร่วมฝ่ายค้านมี สส. 173 เสียง สภาจะไม่ล่ม เพราะ สส.ถูกควบคุมด้วยเงื่อนไข ได้ถาม สส.รายหนึ่ง จึงทราบว่า มีเกณฑ์จากบางพรรคบังคับว่า หากไม่มาลงมติ จะถูกปรับเงินที่พรรคสนับสนุน สส. 20,000 บาท”

นายหัวชวนยังกรีดลึกไปถึงบางพรรคที่ไปจับมือร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทยว่า บางพรรคที่ย้ายมาเป็นฝ่ายค้านไม่สามารถตรวจสอบรัฐบาลได้เต็มที่ เพราะตัวเองมีสิ่งที่ผูกขาอยู่ ตอนเป็นฝ่ายค้านก็เคยอภิปรายคนที่ร่วมงานด้วย ขณะนี้ที่ตอนนี้เป็นฝ่ายรัฐบาลแล้วจะกลับข้อมูลหรือไม่

สิ่งที่อดีตนายกฯ เตือนคือ รัฐบาลอย่าประมาทบรรดานักร้องเรียน เพราะบางครั้งนักการเมืองก็มีข้อมูลน้อยกว่านักร้องเรียน และการเมืองปัจจุบันมีนักวิ่งเต้นเข้ามาเป็นใหญ่เป็นโตมาก คนเหล่านี้วิ่งทุกเรื่อง วิ่งกระบวนการยุติธรรม อะไรต่างๆ ดังนั้นความหวังจึงอยู่ที่องค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ หวังว่าองค์กรเหล่านี้จะเป็นหลักให้บ้านเมือง

ส่วนเรื่องที่สื่อมวลชนตั้งฉายารัฐมนตรี และพาดพิงถึงประชาธิปัตย์เป็น “ประชาธิเป๋” อดีตนายกฯ กล่าวว่า “มีทั้งคนเป๋ คนไม่เป๋ ส่วนการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่ประชาธิปัตย์ถูกมองว่าจะสูญพันธุ์นั้น เห็นว่าเมื่อคนที่คิดว่าล้มเหลวจากครั้งที่แล้วมาเป็นหัวหน้าพรรค เขาจะรู้จุดอ่อน ก็อาจทำได้ดีกว่าเดิมก็ได้” และมองว่า เสียงสนับสนุนพรรคอาจเปลี่ยนไปเพราะมีคนยังศรัทธาตนเองอยู่ “ผมคิดว่าคนไม่เลือกพรรคเพราะผมมีน้อย แต่เลือกพรรคเพราะเห็นแก่ผมมากกว่า ดังนั้นต้องถามคนที่พูดว่าผมควรวางมือ ว่าเขาเลือกพรรคประชาธิปัตย์เพราะคุณหรือเปล่า ผมคิดว่าเขาเกรงใจนายชวนมากกว่า นี่พูดตรงๆ ไม่ได้โอ้อวด แต่เวลาพบชาวบ้านเรารู้” และยังไม่ขอให้คำตอบว่า จะลงเลือกตั้งสมัยหน้าหรือไม่

อีกประเด็นที่จะถูกหยิบยกมาพูดเรื่อยๆ คือเรื่องเรือดำน้ำ “บิ๊กอ้วน” นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ยอมรับว่า ขณะนี้มีการเรียกร้องให้มีการตัดสินใจโดยเร็วว่าจะซื้อเรือดำน้ำเครื่องจีนหรือไม่ โครงการนี้ค้างมานานแล้ว แต่ตนเองยังไม่เซ็นเพราะยังไม่เห็นอะไรเลย “ใครทำไว้ก็ไม่รู้แต่ตนต้องมาเซ็น ต้องมารับผิดชอบ หากมีผลเสียเกิดขึ้นมา คนที่รับผิดชอบเต็มๆ คนแรกคือ พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) และคนรับผิดชอบสุดท้ายคือผม ต้องขอให้ศึกษาข้อมูลต่างๆ ให้ชัด ตอนแรกตั้งใจว่าจะให้เสร็จภายในเดือน ธ.ค. 67 แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะหลังจากมาดูแล้ว การเปลี่ยนตัวเครื่องยนต์เป็นสาระสำคัญ ซึ่งต้องคุยกันให้จบ จึงอยากให้มีการพิสูจน์ทราบว่ามีปัญหาหรือไม่”
การเปลี่ยนแปลงเครื่องยนต์มาจากการที่เยอรมันไม่ขายเครื่องยนต์ให้ตามสเปกเดิม โดยบิ๊กอ้วนกล่าวว่า เป็นการใช้ระบบนาโต (องค์กรสนธิสัญญาฝ่ายแอตแลนติกเหนือ : NATO เพื่อถ่วงอำนาจฝ่ายสังคมนิยม ทำให้เยอรมันขายเครื่องยุทโธปกรณ์ให้จีนไม่ได้ ) แทรกแซงจีน ทางทูตทหารเยอรมันเคยแจ้งว่า เมื่อมีการบอยคอตจากต่างประเทศ ทางเยอรมันจึงต้องบอยคอตด้วย จึงถามไปว่าถ้าคุณไม่ขายให้กับประเทศจีน ขายให้กับประเทศไทยได้หรือไม่ แล้วเราไปหาคนติดตั้งเครื่องยนต์เอง ไม่ต้องให้จีนติดตั้ง เพื่อให้ได้ของที่ตรงสเปกมากขึ้น ซึ่งทูตเยอรมันจะไปคุยให้

“…มีข้อสังเกตจากผู้ต่อต้านการซื้อว่าเรือลำนี้ไม่เคยลงน้ำเลย และอาจทำให้เกิดความกลัวเสียชีวิตในการลงเรือดำน้ำลำนี้ เรือดำน้ำรุ่นนี้จีนเสนอขายไทยได้ขายให้ปากีสถาน 8 ลำแล้ว ผมจึงได้คุยกับทางเอกอัครราชทูตปากีสถานประจำประเทศไทย ขอให้นำเรือดำน้ำรุ่นนี้ลงดำเร็วๆ แล้วประเมินผลด้วยหลักสากล และขอให้ผมรับรู้ด้วยได้หรือไม่ ถ้าลงน้ำและใช้ไปแล้ว 3-4 เดือน เรือดำน้ำรุ่นนี้ไม่มีปัญหาอะไร ก็จะสามารถตอบได้ว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ถึงแม้จะเป็นสาระสำคัญของสัญญา ก็สามารถทดแทนได้ และมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน แล้วผมจะได้อธิบายกับสังคมได้…” นายภูมิธรรม กล่าว
รมว.กลาโหม กล่าวว่า ถ้าสามารถเคลียร์เงื่อนไขสำคัญได้ ก็ตัดสินใจยอมรับ เรือดำน้ำทำไปแล้ว 80% อู่จอดเรือก็ทำไปแล้ว กำลังพลกองเรือดำน้ำก็ส่งไปเรียน ได้ตั้งหน่วยขึ้นมาแล้ว ถ้าทิ้งเรือไปก็เท่ากับทิ้งเงิน 8,000 ล้านบาทไป ราคาเรือดำน้ำ 13,000 ล้านบาท เหลืออีก 20% จ่ายเงินก็จะได้ของมา ถ้าไม่เอาก็ทิ้งไป
“ผมเนื้อไม่ได้กินหนังไม่ได้รองนั่ง มาถึงก็มาจับแก้ปัญหา ถ้าจำเป็นก็จะกลับมาดูว่าไม่ซื้อทั้ง 3 ลำได้หรือไม่ ต้องมาเคลียร์กระบวนการนี้ใหม่ อีก 6 เดือน ก็จบแล้ว มั่นใจว่าจะตัดสินใจได้ ส่วนจะเรียบร้อยหรือไม่สังคมก็ช่วยตรวจสอบ” รมว.กลาโหม กล่าว