เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.67 ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรมว.คลัง และอดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เสนอแนวทางการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจไทยในปี 68 ว่า 1.เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.67กระทรวงคลังได้เสนอ และคณะรัฐมนตรีเห็นชอบกรอบเงินเฟ้อ 1-3% เช่นเดิมสำหรับปี 68 โดยแบงก์ชาติไม่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน หากเงินเฟ้อสูงกว่าหรือต่ำกว่ากรอบฯ เพียงเขียนคำรายงาน
2.อันนี้จะทำให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ยาก เพระกรอบต่ำเกินไป เช่นที่เกิดขึ้นในปี 67 รัฐบาลควรกำหนดกรอบเงินเฟ้อในปี 68 เป็น 2-4% จึงจะฟื้นเศรษฐกิจให้โตได้ 4-5% โดยให้ผู้ว่าแบงก์ชาติและกรรมการนโยบายการเงินต้องรับผิดชอบเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบครับ
3.เงินเฟ้อต่ำเกินไปทำให้ประเทศไม่เจริญเติบโตมากว่า 10 ปีแล้ว เงินเฟ้อที่ต่ำมากๆ ถึงขั้นติดลบ เพราะดอกเบี้ยที่แท้จริงสูงไป นอกจากจะทำให้การลงทุนเอกชนน้อยแล้ว ยังทำให้ค่าเงินบาทแข็งเกินไป มีผลให้การส่งออกน้อย และการลงทุนจากต่างประเทศน้อยด้วย เพราะเงินต่างประเทศซื้อของในประเทศไทยได้น้อย เทียบกับการซื้อของในเวียดนาม อินโดนีเซีย และอีกหลายประเทศ นอกจากนี้ ยังทำให้ค่าไฟฟ้าที่แพงเกินไปอยู่แล้วแพงขึ้นไปอีกในสายตานักลงทุนต่างประเทศด้วย
4.กรอบเงินเฟ้อที่ต่ำเกินไป เป็นเรื่องใหญ่มาก ที่ทำให้ประเทศไทยไม่เจริญไม่พัฒนา สินค้าที่ผลิตล้าสมัย ขายไม่ได้ ไม่มีเงินมาลงทุนใหม่

5.ปรัชญาคือ ราคาที่แพงไป ทำให้ขายของไม่ได้ ทำให้ประเทศไม่เจริญ เครื่องมือเครื่องจักรไม่ได้พัฒนา ราคาของในระบบเศรษฐกิจมหภาค คือ อัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ และอัตราแลกเปลี่ยน ถ้าราคาเหล่านี้ไม่ถูกต้องเหมาะสม แข่งขันไม่ได้ ประเทศก็ไม่พัฒนา เราจะไปเรียกใครมาลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ เขาก็ไม่มา เขาไปเวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ก่อนครับ
6.มีคนจำนวนมากรวมทั้งในแบงก์ชาติ ไม่เข้าใจว่า “ทำไมเศรษฐกิจไทยจึงเติบโตต่ำ” ไปโทษเรื่องสินค้าล้าสมัย การส่งออกน้อย การใช้กำลังการผลิตต่ำ การลงทุนน้อย เทคโนโลยีต่ำ
7.แต่ความจริงมาจากค่าเงินบาทแข็งมากๆ เกินไป ทำให้ส่งออกไม่ได้ การใช้กำลังการผลิตจึงต่ำ ทำให้การลงทุนน้อย ไม่มีเงินมาซื้อเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่มีภาษีมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งฮาร์ดแวร์และดิจิทัล
8.เงินบาทแข็งไปมาจากดอกเบี้ยสูงไป มีปริมาณเงินบาทในระบบเศรษฐกิจน้อยเกินไป คือมีน้ำในบ่อน้อย ปลาก็ไม่โตครับ แค่เติมน้ำในบ่อให้พอดีเต็ม ปลาก็โตแล้วครับ
9.เทียบ 20 ปีที่ผ่านมา เงินบาทไทยแข็งกว่าทุกประเทศในโลกรวมทั้งจีนและสหรัฐ แข็งกว่าอินเดีย 2.58 เท่า แข็งกว่าเวียดนาม 1.6 เท่า แบงก์ชาติเป็นผู้คุมปริมาณเงินบาท หากมีการขึ้นดอกเบี้ยและขายพันธบัตรแบงก์ชาติออกมา ปริมาณเงินบาทในระบบเศรษฐกิจก็ลดลงครับ
11.แนวคิดที่ว่า รัฐบาลสามารถเพิ่มปริมาณเงินบาทได้เอง เช่นไปกู้หรือไปขึ้นภาษีมาใช้จ่ายนั้น เป็นการไปเอาน้ำจากฝั่งหนึ่งของบ่อไปใส่อีกฝั่งหนึ่ง ปริมาณน้ำในบ่อแทบไม่เพิ่มขึ้นครับ
12.เมื่อมีการลดดอกเบี้ยลง ปริมาณเงินบาทจะเพิ่มขึ้น แล้วจะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลงครับ สมมติว่าอ่อนลง 10% เราจะได้รายได้จากการส่งออกเป็นเงินบาทเพิ่มขึ้นอีก 1.2 ล้านๆ บาทเลยทีเดียว (เราส่งออกเป็นเงิน $ คิดเป็นเงินบาทปีละ 12 ล้านๆบาท) บวกเข้าไป ในสมการ GDP=C+I+G+(X-M) ความจริง Exports (X) เป็นตัวแปรเดียวที่เป็นรายได้ ตัวอื่นๆ ทุกตัวเป็นรายจ่าย (ในที่นี้ยังไม่นับปริมาณการส่งออกและท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้น เนื่องจากเงินบาทอ่อนค่าลง)
13.การลดดอกเบี้ยและการปรับค่าเงินบาทให้เหมาะสมแข่งขันได้ จึงมีผลต่ออัตราความเจริญของประเทศ มากกว่าการที่รัฐบาลไปกู้หรือเก็บภาษีเพิ่มมาใช้จ่าย อย่างมากครับ