การไหว้พระในสถานที่สำคัญทั่วประเทศ ยังเป็นโอกาสดีได้ท่องเที่ยวเรียนรู้ ชมความงามศิลปกรรม สถาปัตยกรรม วัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่ โดยปีนี้หลายหน่วยงานจัดกิจกรรม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร อีกหนึ่งหมุดหมายโดยจากช่วงเวลานี้ถึง 5 มกราคม 2568 กรมศิลปากร โดยสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จัดกิจกรรมสักการะพระพุทธรูปวังหน้า พระปฏิมาแห่งแผ่นดิน “นบพระปฏิมา ๙  นครามหามงคล ๒๕๖๘”  อัญเชิญพระพุทธรูปที่มีพุทธศิลป์อันงดงาม มีประวัติความเป็นมาจากนครโบราณของไทย ประดิษฐานให้ประชาชนเข้าชม กราบสักการะ ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

คติการสร้างพระพุทธรูป เป็นการสร้างขึ้นเพื่อแทนคุณแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประกอบด้วย พระมหากรุณาธิคุณ มีคุณด้วยความเมตตากรุณาต่อสัตว์โลก พระวิสุทธิคุณ มีคุณด้วยจิตวิสุทธิ์ และพระปัญญาธิคุณ มีคุณด้วยปัญญา พระพุทธรูปจึงมิใช่รูปเสมือนจริง แต่สร้างขึ้นตามอุดมคติตามแนวของมหาบุรุษ ผู้บำเพ็ญบารมีพร้อมสมบูรณ์ ความงามตามสุนทรียภาพ หรือความรู้สึกถึงความงดงามของช่างฝีมือแต่ละยุคสมัย

พระพุทธรูปแต่ละองค์ที่สร้างขึ้นต่างมีคุณลักษณะเปี่ยมด้วยสรรพสิริสวัสดิมงคลต่างๆ อันเป็นเครื่องน้อมนำให้พระพุทธศาสนิกชนยึดมั่น ศรัทธาต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นกุศโลบายให้ตรึกถึงพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงอันเป็นหนทางพ้นทุกข์ภัยในวัฏสงสาร”

“นบพระปฏิมา ๙  นครามหามงคล ๒๕๖๘” อัญเชิญ พระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) เป็นพระประธาน พร้อมด้วยพระพุทธรูปอีก 9 องค์ ที่จัดแสดงและสงวนรักษา ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร คลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดปทุมธานี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา ประดิษฐานให้สักการบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคลในวาระแห่งการเริ่มต้นศักราชใหม่  

พระพุทธรูปที่มีพุทธศิลป์งดงาม มีประวัติความเป็นมาจากนครโบราณของไทยทั้ง 10 องค์ได้แก่ พระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปศิลปะล้านนา ปลายพุทธศตวรรษที่ 21 พระพุทธรูปปางมารวิชัย เมืองเชียงใหม่ ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ 19-20  พระพุทธรูปยืนปางแสดงธรรม 2 พระหัตถ์ เมืองลพบุรี ศิลปะลพบุรี พุทธศตวรรษที่ 18-19 พระพุทธรูปปางมารวิชัย เมืองสรรคบุรี ศิลปะลพบุรี ก่อนอยุธยาแบบอู่ทองรุ่นที่ 1พุทธศตวรรษที่ 19 พระพุทธรูปยืนปางประทานอภัย เมืองสุโขทัย ศิลปะสุโขทัย พุทธศตวรรษที่ 20 พระพิมพ์ลีลาในซุ้มเรือนแก้ว (พระกำแพงศอก) เมืองสุพรรณบุรี ศิลปะอยุธยา พุทธศตวรรษที่20  พระพุทธรูปปางมารวิชัย พระนครศรีอยุธยา ศิลปะอยุธยาตอนต้น แบบอู่ทองรุ่นที่ 3 พุทธศตวรรษที่ 20พระพุทธรูปปางมารวิชัย เมืองนครศรีธรรมราช ศิลปะอยุธยา สกุลช่างนครศรีธรรมราช พุทธศตวรรษที่ 21-22 พระพุทธรูปยืนปางประทานอภัย 2พระหัตถ์ เมืองพิษณุโลก ศิลปะอยุธยาตอนกลาง พุทธศตวรรษที่ 21-22 และ พระชัยเมืองนครราชสีมา เมืองนครราชสีมา ศิลปะอยุธยา พุทธศตวรรษที่ 22-23

นำข้อมูลประวัติความเป็นมา พาชมพุทธศิลป์งดงามของพระพุทธรูป อาทิ พระพุทธสิหิงค์  พระพุทธรูปศิลปะล้านนา  พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) โดยประวัติ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท วังหน้าพระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงอัญเชิญมาจากเมืองเชียงใหม่ ประดิษฐาน ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ตามตำนานพระพุทธสิหิงค์ได้รับการอัญเชิญไปประดิษฐานเป็นสิริยังพระนครหลวงโบราณหลายแห่ง นับแต่สุโขทัย เชียงใหม่ พระนครศรีอยุธยา ตราบเท่าถึงกรุงรัตนโกสินทร์

พระพิมพ์ลีลาในซุ้มเรือนแก้ว (พระกำแพงศอก) เมืองสุพรรณบุรี พระพิมพ์เนื้อชินรูปพระพุทธเจ้าในอิริยาบถลีลาภายในเรือนแก้ว พระพิมพ์แบบนี้พบมากในกรุพระปรางค์วัดพระศรีมหาธาตุ จังหวัดสุพรรณบุรีจึง สันนิษฐานว่าน่าจะได้จากกรุนี้เช่นกัน นิยมเรียกกันทั่วไปว่า “พระกำแพงศอก”  ตามขนาดของพระพิมพ์ที่ค่อนข้างใหญ่จึงไม่สามารถพกติดตัว มักบูชาที่บ้านเรือน โดยมีความเชื่อว่าเป็น พระพิมพ์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ สามารถป้องกันอัคคีภัย

พระพุทธรูปปางมารวิชัย เมืองนครศรีธรรมราช พระพุทธรูปกลุ่มที่ได้รับรูปแบบมาจากพระพุทธรูปขัดสมาธิเพชร สมัยอยุธยาตอนกลางซึ่งมีแรงบันดาลใจและรูปแบบจากพระพุทธสิหิงค์ หรือพระพุทธรูปขัดสมาธิเพชร ศิลปะล้านนา ตามตำนานระบุว่าเมื่อพระพุทธสิหิงค์เชิญมาจากประเทศศรีลังกา เคยพักประดิษฐานที่นครศรีธรรมราชก่อนอัญเชิญไปเมืองสุโขทัย

พระพุทธรูปยืนปางประทานอภัย 2 พระหัตถ์ เมืองพิษณุโลก พระพุทธรูปยืนทรงเครื่องน้อย ตามประวัติกล่าวว่าได้มาจากพื้นที่มณฑลพิษณุโลกซึ่งตั้งขึ้นเมื่อพุทธศักราช 2435 ประกอบด้วยเมืองพิจิตร เมืองพิชัย เมืองสวรรคโลก เมืองสุโขทัย และเมืองพิษณุโลก โดยมีเมืองเอกคือ เมืองพิษณุโลก สำหรับเมืองพิษณุโลกเดิมมีนามว่า “สองแคว” เรียกตามสภาพภูมิศาสตร์ที่มีลำน้ำสองสายบรรจบกันบริเวณพื้นที่ทิศเหนือนอกตัวเมืองพิษณุโลก คือ แม่น้ำน่าน (แควใหญ่) และแม่น้ำแควน้อย เป็นต้น

นอกจากสักการะพระพุทธรูปวังหน้า ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ พิพิธภัณฑ์ฯ ชวนเดินชม ตามรอยสิบสองนักษัตร (Twelve Zodiacs Scavenger Hunt) ตามหาสัตว์ตัวแทนที่แอบซ่อนตามมุมต่างๆ ในห้องจัดแสดงโดยเฉพาะ “มะเส็ง นักษัตรที่กำลังจะมาถึง ทั้งนี้พาตามรอยค้นหาสิบสองนักษัตร ค้นหามะเส็ง โดย ศุภวรรณ นงนุช ภัณฑารักษ์ชำนาญการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นำชม เล่าถึงกิจกรรมซึ่งต่อเนื่องจากพิพิธภัณฑ์พระนครยามค่ำ Night at the Museum ในเทศกาลท่องเที่ยวพิพิธภัณฑ์ยามค่ำคืนที่ผ่านมา

“ในครั้งนั้นได้นำชมพิพิธภัณฑ์ฯ เป็นกรณีพิเศษ ในหัวข้อ “อาศิรวิษนักษัตร เปิดตำนานอสรพิษ พุทธศักราช ๒๕๖๘” เพื่อบอกเล่าการมาถึงของปีมะเส็ง ใช้ตำนาน เรื่องราวในวรรณกรรมที่เป็นที่รู้จัก เชื่อมโยงบอกเล่าเรื่องราวกับโบราณวัตถุที่จัดแสดง สร้างการเรียนรู้ การเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ฯ  ใช้เรื่องราวนำไปหาโบราณวัตถุที่จัดแสดง โดยอาจไม่ใช่เรื่องงูโดยตรง แต่มีความเกี่ยวข้องกับงู”

รวมถึงกิจกรรมครั้งนี้ที่ชวนเดินชม ตามรอยสิบสองนักษัตร สะสมตราประทับ ตามหาสัตว์ตัวแทนที่หลบซ่อนตัวอยู่ในห้องจัดแสดง ในมุมต่างๆ  12 นักษัตรที่ชวนค้นหา ชวนสะสมตราประทับ แม้เราจะบอกสถานที่ แต่ก็ต้องสังเกต ตามหาที่ซ่อน อย่างเช่น ปีชวด สัตว์สัญลักษณ์ “หนู” ตราประทับจะอยู่ที่ห้องอยุธยา อยู่บนหีบพระธรรม การเก็บตราประทับยังเชื่อมโยงได้เรียนรู้เรื่องราวความสำคัญของหีบพระธรรม หรือแม้กระทั่งลวดลายที่ปรากฏก็บอกเล่าเรื่องได้อีกมากมาย ปีฉลู “วัว” อยู่ที่ห้องทวารวดี ภายในห้องจัดแสดงมีเหรียญแม่วัวกับลูกวัวที่นำมาเป็นตราประทับ เล่าเชื่อมโยงถึงความเชื่อความอุดมสมบูรณ์ ฯลฯ

ขณะที่ ปีขาล “เสือ” ปรากฏอยู่ที่หมู่พระวิมาน เป็นภาพจิตรกรรม ซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของบานหน้าต่าง   ปีเถาะ“กระต่าย” รูปกระต่างแม้จะพบได้ค่อนข้างมาก ปรากฏที่เครื่องกระเบื้อง ถ้วยชา แต่ที่เลือกนำมาเป็นตราประทับ ให้ประทับสะสม เป็นภาพกระต่ายบนบานหน้าต่างในหมู่พระวิมาน ส่วนเป็นจะห้องแสดงใด ต้องมาค้นหา เดินเที่ยวชม

สำหรับ “มะเส็ง” นักษัตรของปีนี้เป็นเรื่องราวของงูกับพังพอน โดยซ่อนตัวอยู่ในหมู่พระวิมานเช่นกัน เป็นภาพที่มีความสวยงามภาพหนึ่ง ทั้งเชื่อมโยงเล่าเรื่องได้มากมาย  หรือแม้แต่ ปีระกา “ไก่” ก็เล่าเรื่องได้มากที่เกี่ยวเนื่องผูกพันกับวิถีชีวิตไทย ฯลฯ โดยทั้งหมดนำเรื่องราวจากนักษัตรขยายไปสู่จักวาลความรู้ได้หลากหลายแง่มุม

ส่งต่อการค้นคว้า การเข้าถึงพิพิธภัณฑ์ และบอกเล่า“ปีมะเส็ง” ที่จะกำลังมาถึง

                                                                                          พงษ์พรรณ บุญเลิศ