เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 29 ธ.ค. 67 ที่ ทัณฑสถานหญิงกลาง แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจและมอบของขวัญปีใหม่ให้กับผู้ต้องราชทัณฑ์และญาติ เนื่องในโอกาสเทศกาลปีใหม่ 2568 พร้อมเปิดเผยว่า กรมราชทัณฑ์ มีเรือนจำ 143 แห่งทั่วประเทศ โดยที่บริเวณคลองเปรมนี้มีเรือนจำ 5 แห่ง ทั้งเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เรือนจำกลางคลองเปรม ทัณฑสถานหญิงกลาง ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง และทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ทำให้มีจำนวนผู้ต้องราชทัณฑ์รวมเกือบ 20,000 ราย โดยเทศกาลปีใหม่ 2568 กระทรวงยุติธรรม ได้มอบของขวัญให้ประชาชนให้ได้เยี่ยมญาติใกล้ชิด และเปิดเยี่ยมญาติปกติในช่วงวันหยุดเทศกาล ซึ่งก็มีการแบ่งรอบในแต่ละเรือนจำทั่วประเทศ เพื่อความเหมาะสม อำนวยความสะดวกประชาชน รวมทั้งมีการจำหน่ายสินค้าของดีราคาถูก และมีการส่งผู้ต้องราชทัณฑ์ออกปฏิบัติสาธารณประโยชน์นอกเรือนจำ ซึ่งทัณฑสถานหญิงกลาง มีผู้ต้องราชทัณฑ์ทั้งหมด 4,000 ราย แต่มีความแตกต่างจากเรือนจำอื่นที่ผู้ต้องราชทัณฑ์ส่วนใหญ่เป็นคดียาเสพติดถึง 80% แต่ที่ทัณฑสถานหญิงกลางนั้น ส่วนใหญ่เป็นคดีเกี่ยวกับทรัพย์ เป็นคดียาเสพติด 40% ปีใหม่นี้กรมราชทัณฑ์จึงเปิดให้เยี่ยมญาติใกล้ชิดถึงสิ้นเดือน ม.ค.68 ส่วนผู้ต้องราชทัณฑ์ที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาก็ยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์ ซึ่งการจัดให้ญาติเยี่ยมใกล้ชิด จะทำให้ญาติคลายความเป็นห่วงกังวล

พ.ต.อ.ทวี เผยด้วยว่า ราชทัณฑ์มีหลักปฏิบัติด้วย อ. 6 ด้าน ได้แก่ 1.ที่อยู่อาศัยอย่างเสมอภาค 2.อาหารครบสามมื้อ มีนักโภชนาการดูแลอย่างถูกหลักอนามัย 3.โอกาสด้านการศึกษา เนื่องด้วยพบว่าผู้ต้องขังกว่า 2 แสนรายมีการศึกษาต่ำกว่าขั้นพื้นฐาน จึงต้องจัดการศึกษาเพิ่มเติม 4.อุดมการณ์หรืออัตลักษณ์ โดยเรือนจำจะต้องเล็งเห็นถึงความหลากหลายของผู้ต้องราชทัณฑ์ ทั้งผู้ต้องราชทัณฑ์มุสลิม และผู้ต้องราชทัณฑ์ศาสนาอื่น ๆ 5.อาชีพ เพื่อให้มีงานทำหลังพ้นโทษ และไม่ทำผิดซ้ำอีก และ 6.โอกาสด้านการเยี่ยมญาติและการพบทนายความเพื่อต่อสู้คดี
พ.ต.อ.ทวี ยังกล่าวถึงกรณีผู้ต้องขังแรกรับเข้าใหม่ปัจจุบันนี้พบว่ามาจากคดีบัญชีม้ามากขึ้น และมีอายุน้อยลง ว่า หลายประเทศมีการใช้มาตรการการคุมประพฤติเพิ่ม และต้องยกระดับให้เขาได้โอกาสด้านกฎหมายให้สู้คดีได้ เพราะส่วนใหญ่ยังเป็นคดีระหว่างพิจารณา

พ.ต.อ.ทวี ยังกล่าวถึงความคืบหน้าของการรับฟังความคิดเห็นร่างประกาศกรมราชทัณฑ์ เรื่อง กำหนดคุณสมบัติเฉพาะ ลักษณะต้องห้ามและวิธีการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566 พ.ศ. …. สำหรับระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566 หรือระเบียบคุมขังนอกเรือนจำฯ ที่ครบกำหนดรับฟังความเห็นไปเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 67 ว่า ขณะนี้ได้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนเสร็จแล้ว โดยประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับหลักเกณฑ์ดังกล่าว ก็อาจไม่มีการแก้ไขอะไร ซึ่งจะเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้ในจำนวนผู้ต้องขังทั่วประเทศ มีผู้ป่วยโรคมะเร็งจำนวนมาก และก็เป็นผู้ต้องขังสูงอายุ บางทีเราอาจต้องให้เขาออกไปอยู่ข้างนอก โดยที่คุมขังอื่น เพราะก็เป็นที่คุมขังเหมือนกัน ไม่ต่างอะไรกับเรือนจำ และเขาจะอยู่ได้แค่ในที่นั้น เพียงแต่ระเบียบดังกล่าวนี้มีมาเพื่อไม่ให้เกิดความแออัดในเรือนจำ เช่น คนเป็นโรคไตวาย จะไว้ในเรือนจำไม่ได้ อีกทั้งทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์เองก็ขนาดเล็ก อย่างไรก็ตาม เดิมคิดว่าระเบียบฯ จะแล้วเสร็จก่อนช่วงปีใหม่ ภายหลังมีการทำประชาพิจารณ์เสร็จเมื่อวันที่ 17 ธ.ค.ที่ผ่านมา แต่เนื่องจากระเบียบดังกล่าวมีขั้นตอน มีคณะกรรมการระดับกรม, ผู้บัญชาการเรือนจำ, องค์กรอื่นที่เข้ามาช่วยดู และที่สำคัญผู้ที่ออกไปคุมขังยังสถานที่อื่นที่มิใช่เรือนจำ ก็อาจต้องติดกล้องเพื่อให้ดูได้ แต่บางส่วนอาจพิจารณาติดกำไล EM รวมถึงต้องมีการจำกัดพื้นที่
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่าจะมีการบังคับใช้ระเบียบคุมขังนอกเรือนจำกับผู้ต้องขังลอตแรกในช่วงเดือน ม.ค. 2568 ได้หรือไม่นั้น พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า คาดว่าหลังเดือน ม.ค. เพราะโทษส่วนใหญ่จะเป็นโทษเล็กน้อย ตั้งแต่อัตราโทษ 4 ปีลงมา แต่หากเรือนจำไหนพร้อมก่อนก็จะทำไปเลยได้ แต่เรือนจำจะต้องดูเรื่องสุขภาพของผู้ต้องขังรายนั้นๆ และดูอัตราโทษคงเหลือก่อน
ต่อข้อถามว่าจะเตรียมรับมืออย่างไร เนื่องจากหลายคนมองว่าระเบียบดังกล่าวทำเพื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นั้น พ.ต.อ.ทวี ระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ เนื่องด้วยมีโทษสูงกว่าที่กำหนด (โทษ 5 ปีจากคดี ม.157 กรณีโครงการจำนำข้าว จีทูจี) ทั้งนี้ อย่างไรก็ต้องเป็นผู้ต้องขังที่มีอัตราโทษเหลือประมาณ 4 ปี และก็ต้องมีการประเมิน ซึ่งคณะกรรมการฯ และ ผบ.เรือนจำแต่ละแห่ง ต้องดูให้ดี เพราะเขาต้องรับผิดชอบ แต่ที่สำคัญ คือ ผู้ต้องขังก็ยังต้องถูกคุมขัง.