ต้องยอมรับว่าในรอบปี 2567 ที่ผ่านมา แวดวงข่าวเศรษฐกิจถือว่าร้อนแรง ไม่แพ้ข่าวในแวดวงการเมืองหรือข่าวอื่นใด ด้วยเพราะเรื่องราวของเศรษฐกิจนั้นเป็นเรื่องที่กระทบกับปากท้อง กระทบกับช่องทางการทำมาหากินของคนไทย กระทบกับความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ!!
จากเงินดิจิทัล…สู่เงินสด
ข่าวเด่นข่าวดังประจำปี 67 ที่คนไทย 50 ล้านคนรอคอยและจำไม่ลืม คงหนีไม่พ้นเรื่องของการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ที่แปรเปลี่ยนจากเงินไฮเทคในยุครัฐบาลเศรษฐา กลายมาเป็นการแจกเงินสดแทนคนละ 10,000 บาท ที่กว่าจะคลอดก็เผชิญมรสุม เผชิญแรงเสียดทานจนหืดจับเพราะรัฐบาลไม่มีเงิน แต่ไปสัญญากับคะแนนเสียงไว้แล้วก็ต้องดั้นด้นผลักดันกันออกมาให้ได้ ล่าสุด…ก็ผ่านไปแล้วครึ่งทาง เพราะนโยบายหาเสียงหลักของพรรคเพื่อไทย ซึ่งช่วงแรกยืนยันหนักแน่น จะแจกให้ทุกคนอายุ 16 ปีขึ้นไปกว่า 50 ล้านคน ใช้งบกว่า 5 แสนล้านบาท แต่ทำไปทำมาตลอด 1 ปีที่ผ่านมา โครงการนี้กลับผลุบๆ โผล่ๆ ถูกแรงต้านหนักหน่วง ทั้งจากนักวิชาการ ธนาคารแห่งประเทศไทย กดดันให้ยกเลิก หรือแจกครึ่งเดียว
แถมเต็มไปด้วยสารพัดปัญหาในขั้นปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจัดทำระบบเพย์เมนต์ การจัดหางบประมาณ ที่ไม่รู้ว่าจะเอาเงินจากไหน 5 แสนล้าน ว้าวุ่นไปทั้งการหากู้ การตั้งงบกลาง เพิ่มงบใหม่ เลยเถิดไปถึงการดึงเงินจาก ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร มาปะตูดให้ครบ ร้อนไปกฤษฎีกาต้องตีความทำได้หรือไม่ได้ แต่ในที่สุดรัฐบาลก็สามารถพลิกวิกฤติเป็นโอกาส อาศัยสถานการณ์ที่ เศรษฐา ทวีสิน ตกเก้าอี้นายกรัฐมนตรี มาปรับเปลี่ยนรูปแบบโครงการดิจิทัลวอลเล็ตใหม่ ให้เดินต่อได้ โดยไม่เหลือคราบไคลเดิม โดยปรับรูปแบบให้ทยอยแจกเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ตามข้อเสนอของแบงก์ชาติเป็นเงินสดๆ 10,000 บาท ให้ 14.5 ล้านคน และในเฟส 2 แจกเงินสดอีก 10,000 บาท ให้ผู้สูงอายุ 4 ล้านคน ช่วงเดือน ม.ค.ปีหน้า
อย่างไรก็ดี การกลายพันธุ์ของ ดิจิทัลวอลเล็ต ก็ยังไม่สิ้นสุดทีเดียว เพราะยังเหลือคนอีกกลุ่มใหญ่กว่า 20 ล้านคน ที่มีการลงทะเบียนผ่านแอปทางรัฐไปแล้ว แต่ยังไม่ประกาศผลออกมา ทำให้หลังจากนี้จะต้องติดตามดูฉากจบของดิจิทัลวอลเล็ต จะออกมาหน้าตาอย่างไร และเงื่อนไขจะปรับเปลี่ยนอีกหรือไม่ เพราะแม้ปัจจุบัน รัฐบาลบอกว่าโครงการเดินหน้าได้แน่ โดยได้กันงบกลางปี 68 ไว้แล้ว 1.8 แสนล้าน แต่ต้องลุ้น จะจ่ายได้เมื่อไร ที่สำคัญคือการพัฒนาระบบการใช้จ่ายเงินโอเพ่น ลูฟ ของแอปพลิเคชัน ทางรัฐ ที่ขณะนี้ยังเงียบเชียบไม่รู้ว่า ดีจีเอทำไปถึงไหน แล้วจะทดสอบระบบได้เมื่อใด หากไม่สำเร็จจะเป็นปัญหาแน่นอน
ช็อก! โยนหินขึ้นแวต 15%
เขย่าวงการเศรษฐกิจส่งท้ายปี เมื่อขุนคลัง ประกาศโยนหินถามทาง เตรียมยกเครื่อง ทั้งลด ทั้งขึ้นเก็บภาษีประเทศยกใหญ่ จนสร้างความกังวลแก่แวดวงเศรษฐกิจ ตั้งแต่นักธุรกิจ พ่อค้า แม่ค้า ประชาชนไปทั่วทุกระแหง โดยมีสาระสำคัญของการปฏิรูปภาษีแบ่งเป็น 3 ด้าน 1.ภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งประเทศไทยกำลังปรับให้เป็นไปตามการเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลระดับโลกขั้นต่ำ (โกลบอล มินิมัม แท็กซ์) ซึ่งนับร้อยประเทศทั่วโลกบรรลุข้อตกลงร่วมแล้ว โดยจะเก็บภาษีบริษัทระหว่างประเทศไม่ต่ำกว่า 15% 2. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะมีการศึกษาเพื่อจูงใจการทำงานในประเทศไทย นอกเหนือจากการให้วีซ่า อาจมีการพิจารณาลดภาษีจาก 35% เหลือ 15% และ 3.การปรับภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) โดยขุนคลังยกตัวอย่าง ทั่วโลกมีการเก็บในอัตรา 15-25% ในขณะที่ไทยเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มระดับต่ำเพียง 7% จากอัตราที่กำหนดไว้ 10% จึงมีความเป็นไปได้ว่า อาจขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มสูงถึง 15% นอกจากนี้จะมีการเก็บภาษีสินทรัพย์ที่ปัจจุบันคนรวย ยังเสียค่อนข้างน้อยด้วย
แต่หากย้อนไปดูต้นสาวราวเรื่อง ต้องบอกว่า แนวคิดการปฏิรูปภาษีของขุนคลัง ไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย เพราะเมื่อดูฐานะการคลัง สัดส่วนรายได้ภาษีต่อจีดีพีก่อนเกิดโควิดอยู่ที่ 16% ของจีดีพีเท่านั้น และล่าสุดแนวโน้มยังลดลงต่อเนื่องจนปัจจุบันอยู่ที่แค่ 14% กว่าๆ ของจีดีพี
การลดลงของรายรับของภาษีเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง สวนทางกับภาระดอกเบี้ยเทียบกับรายได้สุทธิ ซึ่งปัจจุบันของไทยอยู่ที่ประมาณ 8% แต่ในอีกประมาณ 2-3 ปี จะขยับขึ้นเร็วมาก ในปี 69 อยู่ที่ 12% และกว่าจะถึงปี 71 จะขึ้นเป็น 24% สัดส่วนเช่นนี้น่าเป็นห่วง เพราะสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ใช้จัดอันดับการลงทุนอยู่ที่ 10% เท่านั้น แม้ต่อมาทางกระทรวงการคลังจะออกมาสยบข่าวว่าเรื่องภาษีเป็นเพียงแค่แนวคิด ยังไม่มีการเก็บจริง โดยเฉพาะการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 15% คงไม่เกิดขึ้นจริงในเร็วๆ นี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า งานเรื่องปฏิรูปโครงสร้างภาษีของประเทศคงจะเกิดขึ้นแน่นอน เพราะเทียบรายรับกับรายจ่ายประเทศที่ไม่สมดุล และขาดดุลมาอย่างยาวนานแบบนี้ หากปล่อยไปจะบ่อนทำลายเครดิตของประเทศอย่างแน่นอน
รอยร้าวรัฐบาล-แบงก์ชาติ
ขณะที่ข่าวฮอตฮิตไม่แพ้ข่าวใด แม้ไม่ได้แทงตรงลงมาที่ปากท้องของคนไทยทั่วประเทศก็ตาม เพราะเป็นเรื่องของคนที่จะมาเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ที่สุดท้ายแล้วก็ต้องเข้ามามีบทบาทในเรื่องของนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการเงินไม่น้อยด้วยเช่นกัน โดยปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่รัฐบาลส่ง “เดอะโต้ง-กิตติรัตน์ ณ ระนอง” ที่มากด้วยความรู้ความสามารถเฉพาะด้านทั้งด้านการคลัง การเงิน ตลาดทุน เข้ามาเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ แม้บอกว่าเป็นไปตามกระบวนการสรรหา แต่ในความจริงแล้วทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าฟากการเมืองส่งมา ก็เป็นเรื่องปกติที่คนแบงก์ชาติย่อมออกมาต่อต้าน ด้วยเพราะกลัวว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปโดยเฉพาะตำแหน่งผู้ว่าการแบงก์ชาติ ซึ่งสุดท้ายทุกอย่างต้องเริ่มต้นกลับไปนับหนึ่งใหม่กับการสรรหาประธานบอร์ดคนใหม่
ต้องยอมรับว่าตลอดทั้งปีมะโรงความขัดแย้งระหว่างแบงก์ชาติกับรัฐบาลก็เกิดขึ้นมาโดยตลอดตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ตลอดจนมาถึงยุครัฐบาลอิ๊งค์ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่มีปัญหาความขัดแย้งกับแบงก์ชาติ โดยเฉพาะตัวนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการแบงก์ชาติคนปัจจุบัน เนื่องจากความเห็นต่างของนโยบายในหลายเรื่อง
ทั้งการไม่เห็นด้วยกับการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทของรัฐบาล เพราะไม่ต้องการให้กู้เงินมาแจกเงินดิจิทัล จนรัฐบาลปรับเปลี่ยนรูปแบบแหล่งที่มาของเงิน จากการกู้ 500,000 ล้านบาท เป็นใช้เงินงบประมาณปี 67, งบประมาณปี 68 และเงินสภาพคล่องจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ถึงขั้น แบงก์ชาติ ส่งหนังสือถึง ครม. 5 หน้า ย้ำว่า ไม่ได้มีปัญหากับโครงการ แต่ควรแจกเฉพาะกลุ่มอย่างคนรายได้น้อยที่ใช้เงินน้อยกว่ามาก และเงิน 500,000 ล้านบาท สามารถนำไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานได้อีกหลายโครงการ
นอกจากนี้ยังมีเรื่องดอกเบี้ยที่รัฐบาลอยากให้แบงก์ชาติลดดอกเบี้ย เพราะจะได้ช่วยเหลือประชาชน ต้นทุนธุรกิจในช่วงที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่และรายได้ไม่ฟื้นตัว เพื่อให้ลดภาระดอกเบี้ยแก่ครัวเรือนด้วย ซึ่งไม่ว่ารัฐบาล นำโดยอดีตนายกฯ เศรษฐา ที่นั่งควบรมว.คลังในช่วงนั้นด้วยแล้ว จะเรียกร้องให้ลดดอกเบี้ยเพียงใด แต่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ก็ยังใจแข็งไม่ยอมลดตามคำขอ จนในที่สุดแบงก์ชาติ โดย กนง.ได้ประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลงแล้ว ในยุคนายกฯ อิ๊งค์ และนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและรมว.คลังในช่วงเวลานี้
อีกเรื่องที่สำคัญคือการแจกเงินเกษตรกรชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ซึ่งแบงก์ชาติไม่เคยเห็นด้วย เพราะเป็นโครงการที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมจงใจผิดๆ หรือมอรัลฮัดซาร์ด ที่จะรอคอยความช่วยเหลือในทุกๆ ปี และยังมีเรื่องการที่นายกฯ แพทองธาร ตั้งคำถามถึงความเป็นอิสระแบงก์ชาติว่าไม่สามารถทำงานสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลได้
ทรัมป์มา ธุรกิจไทยกระเทือน
ในช่วงปี 67 สถานการณ์เศรษฐกิจของไทยและทั่วโลกยังฟื้นตัวได้ไม่ดีเท่าที่ควร ที่น่ากังวลคือการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่มาจากภาคการผลิตที่ซบเซา ส่งผลต่อการค้าโลก รวมถึงผลกระทบการส่งออกสินค้าของไทยในช่วงต้นปี โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ ได้ออกมาเตือนถึงความเสี่ยงสำคัญที่อาจฉุดรั้งเศรษฐกิจโลก ทั้งการกีดกันทางการค้าที่ทวีความรุนแรง ส่งผลกระทบต่อการค้าโลกและการลงทุน ทำให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวได้ช้าลง
ด้านอัตราเงินเฟ้อที่อาจกลับมาเร่งตัวขึ้นอีกครั้ง จากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจกระตุ้นให้ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งสูงขึ้น นำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรง และปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน ที่เกิดวิกฤติ อาจลุกลามบานปลายและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ที่สำคัญ!! ในเวลานี้เศรษฐกิจโลกเริ่มส่งสัญญาณถึงความเปราะบางมากขึ้น และต้องเจอกับความท้าทายค่อนข้างมาก หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เข้ามานั่งประธานาธิบดีสหรัฐ และมุ่งเน้นนโยบายการค้า ซึ่งอาจทำให้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนกลับมาปะทุเดือดขึ้นอีกครั้ง และแน่นอนกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ที่สำคัญยังลามมาถึงเศรษฐกิจของไทยอีกด้วย ถือเป็นสิ่งที่น่ากังวลมากที่สุดของด้านผู้ผลิต ผู้ประกอบการของไทย โดยเฉพาะเพื่อการส่งออก
ความท้าทายด้านการส่งออก ต่อนโยบายทรัมป์ 2.0 ต่างพากันให้ภาคเอกชนหวาดระแวง เพราะไม่อาจคาดเดาได้ว่า ทรัมป์ในยุค 2.0 นี้จะเกิดนโยบายอะไรขึ้นบ้าง ซึ่งที่แน่นอนจะมีเรื่องกีดกันการค้า การเพิ่มขึ้นของภาษีนำเข้า ถือเป็นความเสี่ยงสำคัญที่อาจกระทบต่อการส่งออกสินค้าของไทย และคาดการณ์ว่ากลุ่มที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดคงหนีไม่พ้น กลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ เซมิคอนดักเตอร์ และยางล้อ
แม้นโยบายการค้าของทรัมป์ 2.0 จะยังคงไม่มีผลกระทบในเศรษฐกิจไทยปี 67 มากนัก แต่สัญญาณนโยบายดังกล่าวได้สร้างความปั่นป่วนให้กับผู้ประกอบการไทยและทั่วโลก เพราะต้องหาวิธีรับมือกับแนวทางนโยบายการค้าของทรัมป์ เพื่อไม่ให้สร้างผลกระทบต่อธุรกิจ โดยคาดว่าจะส่งผลกระทบจริงๆ ในปี 68 เป็นต้นไป ซึ่งตามข้อมูลสภาพัฒน์ได้คาดว่าเศรษฐกิจไทย หรือจีดีพีปี 67 จะขยายตัวได้ 2.6% และของปี 68 จีดีพีจะขยายตัวได้ในกรอบ 2.3-3.3% หรือค่ากลาง 2.8% ท่ามกลางความท้าทายจากภายนอกประเทศ โดยเฉพาะนโยบายการค้าสหรัฐ ภายใต้ทรัมป์ 2.0
สินค้าจีนบุกถล่มตลาด
ท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวช่วงหลายปีที่ผ่านมา ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบชัดสุด คือ ธุรกิจค้าปลีกพ่อค้า แม่ค้ารายย่อย ส่วนหนึ่งนอกจากเป็นผลจากกำลังซื้อที่ซบเซาแล้ว อีกส่วนก็มาจากการถูกสินค้าราคาถูก และไม่ได้มาตรฐานจากจีนเข้ามาตีตลาด เห็นได้ชัดจากตัวเลขดุลการค้าไทย-จีนช่วงที่ผ่านมา ไทยขาดดุลกับจีนมหาศาลต่อเนื่องหลายปีติด โดยข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ ในปี 64 การค้าไทย-จีน มูลค่ารวม 3.3 ล้านล้านบาท แต่ไทยขาดดุลการค้าจีน 954,194 ล้านบาท, ปี 65 การค้ารวม 3.67 ล้านล้านบาท แต่ไทยขาดดุลจีนเพิ่มขึ้นเป็น 1.29 ล้านล้านบาท และปี 66 การค้าไทย-จีน มีมูลค่ารวม 3.64 ล้านล้านบาท แต่ไทยกลับขาดดุลถึง 1.29 ล้านล้านบาท
ตัวเลขไม่เคยโกหกใคร ทุกวันนี้เห็นได้ชัดสินค้าจีนบุกเข้ามาทุกหัวระแหง ตั้งร้านขาย 10-20 บาท หรือบนแพลตฟอร์มออนไลน์ก็มีเกลื่อน กดดันให้รัฐบาลต้องหาทางป้องกันแก้ไขด่วน เพราะหากไม่ทำอะไร สินค้าจีนจะถล่มจนคนค้าขาย โรงงานเล็กใหญ่ตายหมด ในที่สุดแม้จะมีการตั้งคณะกรรมการ 16 หน่วยงานขึ้นมาสกัดสินค้าห่วยจากจีนเข้าไทย แต่ทว่ามาตรการที่ออกมาก็ยังไม่มีอะไรใหม่ เพียงแต่นำมาตรการเก่ามาใช้ให้เข้มงวดเท่านั้น เช่น กรมศุลกากรเปิดเอกซเรย์สินค้าที่ต้องสงสัยแบบ 100% รวมถึงขยายเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ในสินค้าทุกประเภท ทุกราคาตั้งแต่บาทแรก แบบไม่มียกเว้นอีก
สำหรับผลการใช้กฎหมายช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา แม้ทำให้นำเข้าสินค้าจากจีนลดลง 20% และจับกุมสินค้านำเข้าไม่มีมาตรฐานมากขึ้น แต่ก็ยังเบาใจไม่ได้ เพราะตัวเลขการขาดดุลการค้าไทย-จีน ยังคงพุ่งสูงอยู่ อีกทั้งรัฐบาลเองก็ไม่กล้าทำอะไรมาก เพราะจีน เป็นพันธมิตรเศรษฐกิจใหญ่ของไทย ทั้งส่งออก นำเข้าผลไม้ปีละหลายแสนล้าน แถมมีนักท่องเที่ยวเข้าไทย 7-8 ล้านคน หากออกมาตรการอะไรแข็งกร้าวออกมา ถูกจีนตอบโต้กลับจะได้ไม่คุ้มเสีย ดังนั้น ภาระนี้จึงเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการ พ่อค้าแม่ค้าจะต้องปรับตัว ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
ยอดขายรถดิ่งสุดรอบ 15 ปี
มาอีกเรื่องที่แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คนไทยหรือผู้บริโภคได้ประโยชน์ แต่ก็ทำลายอุตสาหกรรมของประเทศ ทั้งเรื่องการเข้ามาบุกตลาดและดัมพ์ราคาของรถยนต์ไฟฟ้าจากแดนมังกร ที่แม้ว่าไทยจะมีเป้าหมายเป็นฮับของการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าซึ่งเป็นไปตามเทรนด์ของโลก จึงตั้งเป้าดึงผู้ผลิตเข้ามาโดยให้สิทธิประโยชน์มากมาย รวมไปถึงการลดภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูป สุดท้ายผู้บริโภคจ่ายเงินน้อยลง ได้รถทางเลือกใหม่ที่ช่วยรักษ์โลก แต่บรรดาค่ายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันต้องอ่วมอรทัย ยอดขายลดฮวบ จนบางรายถึงกับต้องเลิกผลิตในประเทศแล้วหันไปนำเข้าแทน หรือดีลเลอร์บางค่ายต้องแปรเปลี่ยนไปเป็นตัวแทนของรถยนต์อีวีแทนก็มี
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ต้องปรับลดเป้าหมายการผลิตรถยนต์โดยเหลือเพียงแค่ 1.5 ล้านคันเท่านั้น โดยการปรับลดนี้มุ่งเน้นไปที่การผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายภายในประเทศเหลือเพียง 450,000 คัน ภาพรวมเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปัจจุบัน หากสถานการณ์ยังไม่ปรับตัวดีขึ้น ยอดขายรถยนต์ในปีนี้อาจลดลงถึงระดับต่ำสุดในรอบ 15 ปี ถือได้ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดในรอบ 40 ปี ทั้งในด้านเทคโนโลยีที่กำลังมุ่งสู่การใช้พลังงานไฟฟ้า และการเปลี่ยนแปลงของผู้เล่นในตลาด จากเดิมที่ผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นและยุโรปเคยครองตลาด ปัจจุบันผู้ผลิตรถยนต์จากจีนได้ก้าวเข้ามาเป็นคู่แข่งที่สำคัญ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยนี้ ไม่ใช่มีปัญหาแค่เพียงเรื่องของการเปลี่ยนถ่ายพลังงานเท่านั้น แต่ในเรื่องของภาวะเศรษฐกิจ และกำลังซื้อของผู้บริโภคจะเริ่มฟื้นตัว ซึ่งอาจส่งผลให้สถาบันการเงินผ่อนคลายเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อบ้าง แต่ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินฝืดของราคาสินทรัพย์ (รถยนต์) ในอนาคต, ความเสี่ยงต่อการเพิ่มขึ้นของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้, รวมถึงข้อกำหนดและมาตรการที่เข้มงวดขึ้นในการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค ทำให้สถาบันการเงินคุมเข้มเรื่องการปล่อยสินเชื่อ
วิกฤติที่อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยกำลังเผชิญอยู่นี้ ไม่ใช่เพียงแค่ผลกระทบระยะสั้นจากภาวะเศรษฐกิจ แต่เป็นสัญญาณเตือนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้น ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ การปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการ
เรียกได้ว่า…ปีมะโรงที่กำลังจะพ้นผ่านในอีกไม่กี่วันนี้ก็เต็มกลืนไปด้วยสารพัดข่าวคราวทางด้านเศรษฐกิจเรียกได้ว่าเป็นปีที่ลืมยากเสียจริง!!.