เปิดฉากการศึกษาไทยในรอบปี 2567 ภายใต้เจ้าของรหัส “เสมา1” พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ และ “เสมา2” นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศึกษาธิการ ที่เข้ามานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ ประกาศเดินหน้านโยบาย “เรียนดีมีความสุข” ปักธง “การศึกษาเพื่อความเป็นเลิศ” พร้อมกับลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา สร้างโอกาสผู้เรียนให้เข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม ด้วยนโยบายสำคัญตั้งแต่การลดภาระครูและนักเรียน การสร้างแพลทฟอร์มสำหรับนักเรียนและครูให้เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา Anywhere anytime การจัดหาอุปกรณ์เสริมการสอนของนักเรียนและครู การเดินหน้าโรงเรียนคุณภาพประจำชุมชน การแก้ปัญหาเด็กหลุดระบบการศึกษา Thailand Zero Dropout แก้ปัญหาเด็กหลุดระบบให้เป็นศูนย์

ซึ่งการนำทัพการศึกษาของ “เพิ่มพูน” ในรอบปีที่ผ่านมาได้แก้ปัญหาเรื่องลดภาระครู โดยมีมติยกเลิกระเบียบราชการเมื่อปี 2542 ที่กำหนดให้สถานที่ราชการทุกแห่งต้องจัดให้มีเวรรักษาการณ์ เพื่อดูแลและป้องกันความเสียหายอันจะบังเกิดแก่สถานที่ราชการ โดยการยกเลิกระเบียบดังกล่าวส่งผลให้จากนี้สถานศึกษาจะไม่มีการเข้าเวรของครูอีกต่อไป โดยการทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยในสถานศึกษาจะให้อยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ทำแทน ขณะเดียวกันยังได้จัดงบประมาณจ้างเหมาบริการนักการภารโรง จำนวน 13,751 อัตรา เพื่อให้มีนักการภารโรงครบทุกโรงเรียน

นอกจากนี้ยังมีเรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งได้มีการจัดตั้งสถานีแก้หนี้ครูของเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขต พร้อมจัดโครงการอบรมเสริมสร้างความรู้และทักษะการวางแผนทางการเงินและการออมด้วยหลักสูตร Money Coach และที่สำคัญได้มีการเจรจาลดอัตราดอกเบี้ยของสหกรณ์ออมทรัพย์ครู รวมถึงการทำความร่วมมือกับธนาคารออมสินในการประนอมหนี้ ไม่สั่งฟ้อง และการไม่ทำประกันสินเชื่อเงินกู้ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้แก่ครู

ขณะเดียวกันยังมีโครงการ “สุขาดีมีความสุข” โดยการจัดงบประมาณปรับปรุงห้องน้ำในกลุ่มโรงเรียนขนาดเล็ก นักเรียนและครูยิ้มได้ถูกใจห้องน้ำสะอาดมีสุขอนามัยที่ดี รวมถึงแสวงหาการมีส่วนร่วมของเครือข่ายทั้งภาคเอกชนและประชาสังคม ในการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพห้องน้ำโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะตามบริบทของพื้นที่ และโค้งสุดท้ายของปี 2567 กับการขับเคลื่อนนโยบายเด็กหลุดระบบการศึกษา หรือ Zero Droup Out ซึ่งเป็นการเดินหน้าดึงเด็กตกหล่นกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาให้ได้มากที่สุด โดยการพาการศึกษาไปหาน้อง หรือการสอนทักษะอาชีพตามความต้องการของผู้เรียน

โดย พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยถึงทิศทางการศึกษาไทยในปี 2568 ว่า ในปีหน้า 2568 นี้ จะได้เห็นนโยบายที่ชัดเจน คือ นโยบายเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา Anywhere anytime เนื่องจากตนวางระบบมาไว้แล้วตั้งแต่การจัดทำแพลทฟอร์มเสริมการเรียนรู้ของครูและนักเรียน การจัดทำเนื้อหาคอนเทนต์สาระวิชาการเรียนรู้ที่ทันสมัย การจัดหาอุปกรณ์เสริมการสอนให้แก่ครูและนักเรียน นอกจากนี้ยังมีโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา Partnership School Projec ที่มีพื้นฐานจากมูลนิธิสานอนาคตเพื่อการศึกษา หรือ คอนเนคอีดี ให้มากขึ้น โดยตนจะทำให้เห็นโรงเรียนคุณภาพชุมชนที่เปลี่ยนแปลงด้วยการเติมมิติใหม่ๆ เพื่อสอดรับกับนโยบายการฟื้นโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน ของน.ส.แพรทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

“ในปี 2568 ศธ.จะทำความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนมากขึ้น เนื่องจากผมมองว่าในอนาคตอยากให้วางทิศทางให้เด็กไทยได้รู้จักเป้าหมายของชีวิต ไม่ใช่แค่การมาเรียนหนังสือแล้วเลิกเรียน หรือการมาเรียนไปวันๆเท่านั้น ซึ่งผมจะวางทิศทางเป้าหมายชีวิตของนักเรียนไทย เพราะเด็กเรียนจบแล้วต้องมีงานทำ เช่น กลุ่มภาคธุรกิจไหนที่มีอัตรารองรับการบรรจุ เราจะผลิตผู้เรียนให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายตลาดแรงงาน ดังนั้นภาคเอกชนจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะเข้ามาช่วยบริหารจัดการศึกษามากขึ้น ทั้งนี้ที่สำคัญการยกระดับคุณภาพการศึกษาตามโครงการประเมินนักเรียนระดับนานาชาติ หรือ พิซา 2025 ผมเชื่อว่าเด็กไทยจะมีคะแนนขยับขึ้น 5-10% อย่างแน่นอน ส่วนปัญหาหนี้ครูขณะนี้ได้ไปสู่ขั้นตอนการแก้หนี้สำเร็จแล้ว แต่จะเพิ่มความรู้ทักษะการเงินให้แก่ครู เพราะที่ผ่านมามีผลตอบรับครูเปลี่ยนพฤติกรรมมีความรอบคอบในการใช้เงินมากขึ้น ซึงผมมั่นใจว่าตัวเลขครูใหม่ที่ก่อหนี้อีกจะเป็นศูนย์และหนี้สะสมของครูจะหายไปอย่างแน่อนด้วย” รมว.ศธ.กล่าว

อย่างไรก็ตามภาพรวมการศึกษาไทยในปี 2567 ยังมุ่งเน้นการปรับตัวให้ทันกับโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและการพัฒนาทักษะที่เหมาะสมกับการทำงานในศตวรรษที่ 21 ดังนั้นการก้าวสู่ปี 2568 จะเป็นปีแห่งการเสริมสร้างเป้าหมายในชีวิตให้แก่ผู้เรียนมากขึ้น