ปัญหาวิกฤตศรัทธา ขาดธรรมาภิบาลในตลาดหุ้นไทย ยังไม่มีแผ่วง่ายๆ เพราะหากนับจุดเริ่มต้นจาก คดีการซื้อขายผิดปกติใน หุ้น“มอร์ รีเทิร์น” หรือ “หุ้นมอร์” กับ 11 โบรกเกอร์ เมื่อปี 65 เรื่อยมาถึงปี 66 ก็เกิดเหตุสั่นสะเทือนความเชื่อมั่นต่อเนื่อง กับคดีตกแต่งบัญชี ปลอมแปลงเอกสารการเงิน เพื่อสร้างมูลค่าหุ้นปลอมของ บมจ. สตาร์ค คอร์ปอเรชั่น หรือ หุ้นสตาร์ค 

สตาร์คเขย่าตลาดรอบใหม่

ล่าสุดในปี 67 ที่ผ่านมา ก็ยังปัญหาธรรมาภิบาลในตลาดทุน ไม่หยุดไม่หย่อน เริ่มจากยักษ์ใหญ่วงการก่อสร้าง “บมจ. อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์” หรือ ไอทีดี ก็เกิดปัญหาสภาพคล่อง จนต้องขอเลื่อนการชำระหนี้เงินต้น รุกลามไปถึงบริษัทอื่นๆ เบี้ยวหนี้ตามมาอีกเป็นโขยง เช่นเดียวกับคดีหุ้นสตาร์ค ก็กลับมาเฮี้ยนแสดงอิทธิฤทธิ์อีกครั้ง หลังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) บินลัดฟ้าไปถึงดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ลากตัว นายชนินทร์ เย็นสุดใจ อดีตผู้บริหาร สตาร์ค กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยได้สำเร็จ หลังหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศนานเกือบ 1 ปี

พร้อมกับ มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหารวม 11 คน ในความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ฐานตกแต่งบัญชีและงบการเงิน และฐานฉ้อโกงประชาชน รวมถึงความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542

แม้ตำรวจจะลากตัวเอาผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ แต่ปฏิเสธไม่ว่ากรณีสตาร์ค ได้กลายเป็นคดีประวัติศาสตร์ในตลาดหุ้นไทย ที่สร้างความเสียหายมากสุดเคสหนึ่งไปแล้ว ทั้งความเสียหายต่อผู้ถือหุ้นรายย่อย ผู้ถือหุ้นกู้ และผู้ถือหน่วยลงทุน ทำให้จากมูลค่าหุ้นที่เคยมีมูลค่าสูงสุด 60,000 ล้านบาท เหลือไม่ถึง 2,000 ล้านบาท อีกทั้งยังสะเทือนไปถึงผู้ถือหุ้นกู้ 5 ชุด วงเงินรวม 9,198 ล้านบาท และธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ที่ปล่อยสินเชื่อก็ติดร่างแหไปด้วยอีกเกือบ 8,000 ล้านบาท

อีเอกระทืบวิกฤตศรัทธา

ถัดมาจากคดี สตาร์ค ในช่วงกลางปีก็ยังเกิดเหตุกับ อีเอ บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงาน บริสุทธิ์ แต่การบริหารของผู้บริหารกลับไม่บริสุทธิ์ เกิดปัญหาธรรมาภิบาลจนทำให้มูลค่าหุ้นร่วงกราว กระแทกฟลอร์ครั้งแล้วครั้งเล่า จากที่เคยมีมูลค่าถึง 3.6 แสนล้านบาท มากที่สุดติด 1 ใน 20 ของตลาดหุ้นไทย แต่พอมีประเด็นทุจริตเกิดขึ้นมูลค่าก็เหลือแค่หลัก 4-5 หมื่นล้านบาทเท่านั้น 

โดยคดีนี้ สมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ อมร ทรัพย์ทวีกุล กรรมการ รวมทั้ง พรเลิศ เตชะรัตโนภาส ผู้ถือหุ้นอีเอ กลายเป็นบุคคลที่ถูกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. กล่าวโทษว่าร่วมกันทุจริต และได้รับผลประโยชน์รวมกันมากถึง 3.46 พันล้านบาท  

หรือล่าสุด สดๆร้อนๆ เมื่อปลายปีก็เกิดเหตุการณ์ “หมอบุญ” หรือ “นายแพทย์บุญ วนาสิน” อดีตประธานกรรมการ บมจ. ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป หรือ ทีจีเอช มีการฉ้อโกงกู้ยืมเงิน จนศาลได้ออกหมายจับ หมอบุญ และพวกอีก 8 คน ในคดีฉ้อโกง ก็ยิ่งสั่นคลอนความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นไปอีก  

หนีหุ้นไทยไปต่างประเทศ

สิ่งที่เกิดขึ้นกับสตาร์ค อีเอ จนกระทั่งหมอบุญนั้น กลายเป็นหัวเชื้อซ้ำเติมบรรยากาศตลาดหุ้นไทยให้แย่ลงไปอีก โดยเฉพาะปมทุจริตที่เกิดขึ้นกับหุ้นหลายตัว จนความเชื่อมั่นที่ติดลบ ทำให้นักลงทุนต่างชาติพร้อมใจกันหนีเตลิดจากหุ้นไทย เพราะมองว่าตลาดทุนไทยขาดความโปร่งใส มีความเสี่ยงสูง ส่งผลต่อเม็ดเงินลงทุนอย่างรุนแรง

ผลพวงจากปัญหาธรรมาภิบาลที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ต้นปี 66 เป็นต้นมานั้น ทำให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยไปแล้วกว่า 3 แสนล้านบาท ขณะที่นักลงทุนในประเทศค่อยๆ หนีหายจากหุ้นไทยไปเล่นหุ้นตลาดต่างประเทศมากขึ้น เห็นได้จากวอลุ่มการซื้อขาย ในช่วงรุ่งๆ ที่เคยวิ่งไปแตะ 7-9 หมื่นล้านบาท ลดไปเหลือ 2-3 หมื่นล้านต่อวันเท่านั้น  

หน่วยกำกับก็มีปัญหา

ต้นเหตุของปัญหานอกจากจะมาจากปัญหารายตัวของบริษัทและบุคคลแล้ว  ส่วนหนึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน กลไกการตรวจสอบกำกับดูแลตลาดทุนก็มีปัญหา รวมถึงกฎหมายยังมีจุดอ่อนไม่ทันสมัย โดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ยังขาดประสิทธิภาพ ทำให้เกิดช่องโหว่ที่เปิดช่องให้ผู้ทำการทุจริตได้ง่ายๆ แบบนี้

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต. มีการเปิดเผยข้อมูลการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการทุจริตในตลาดหุ้น ซึ่งข้อมูล ณ วันที่ 9 ธ.ค.67 ได้กล่าวโทษดำเนินคดีอาญากับผู้กระทำผิดต่อพนักงานสอบสวนในคดีสำคัญ ๆ เช่น เรื่องของความไม่เป็นธรรม และเรื่องการทุจริต โดยรวมทั้งหมดแล้ว 13 คดี จำนวน 87 ราย แบ่งออกเป็นการสร้างราคา 3 คดี จำนวน 50 ราย  การแพร่ข่าว 2 คดี จำนวน 7 ราย  Front run 1 คดี จำนวน 2 ราย และการทุจริต 7 คดี จำนวน 28 ราย ซึ่งถ้าหากเทียบกับปี 2566 มี 8 คดี จำนวน 88 ราย

เร่งเครื่องปราบโกง

ขณะที่การบังคับใช้มาตรการลงโทษทางแพ่ง ทางคณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) ได้พิจารณาทั้งหมด 10 คดี จำนวน 72 ราย แย่งออกเป็น 1.การสร้างราคา 6 คดี จำนวน 62 ราย และ 2.การใช้ข้อมูลภายใน/การเปิดเผยข้อมูลภายใน 4 คดี จำนวน 10 ราย ซึ่งถ้าเทียบกับปี 66 มี 7 คดี จำนวน 22 ราย

ส่วนสถิติสายด่วนหลอกลงทุน ปี2567นี้ ได้รับเบาะแส 5,057 ครั้ง บัญชีที่ประสานขอปิดกั้น 2,968 บัญชี ปิดกั้นแล้ว 2,940 บัญชี หรือเกือบ 100% ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ทำให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้น โดยบัญชีที่ปิดกั้นเนื้อหาหรือช่องทางการหลอกลงทุนประกอบด้วย ติ๊กต๊อก จำนวน 1,502 บัญชี เฟสบุ๊ก จำนวน 1,318 และไลน์ จำนวน 148 บัญชี แสดงให้เห็นว่าการเร่งสปีดในเรื่องกระบวนการบังคับใช้กฎหมายมีมากขึ้น 

สังคายนาตลาดทุน

อย่างไรก็ตาม ภารกิจในการปราบโกง เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของ ก.ล.ต.ยังจะไม่สิ้นสุดลงง่ายๆ โดยแผนงานปี 68 ก.ล.ต.เริ่มการสังคยานา ปรับกระบวนการภายในครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการรองรับกรณีที่ ก.ล.ต. จะเป็นพนักงานสอบสวนในอนาคต เพื่อดำเนินคดีอาญาต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องเพิ่มความสามารถของบุคลากร เช่นเดียวกันกับการแก้ไขกฎหมายให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งอยู่เรื่องในขั้นตอนของกฤษฎีกาอยู่

โดยมีสาระสำคัญ คือ “ปกติเวลาดำเนินคดีอาญา ก.ล.ต. จะต้องไปร้องทุกข์กล่าวโทษกับพนักงานสอบสวน ซึ่งพนักงานสอบสวน จะต้องทำกระบวนการในการสืบสวนสอบสวนอีกรอบหนึ่ง  เพราะฉะนั้นกระบวนการพวกนี้ใช้เวลานาน ทำให้การลงโทษหรือการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดล่าช้า จึงอาจเกิดความไม่มั่นใจได้”

แต่ต่อไปหาก ก.ล.ต. สามารถเป็นพนักงานสอบสวนได้ก็จะลดขั้นตอนและทำให้กระบวนการเร็วขึ้นได้ ทำให้ประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายเร็วกว่าเดิม  สามารถนำขึ้นสู่กระบวนการในชั้นตุลาการได้เร็วขึ้น และทุกกรณีจะเข้าสู่กระบวนการตุลาการเหมือนกรณีแพ่ง

ดังนั้น การยกเครื่องการปราบโกงครั้งใหญ่ของ ก.ล.ต. จึงเป็นย่างก้าวที่ถูกจับตาจากนักลงทุนไทยและทั่วโลก เพื่อต้องการสร้างความเชื่อมั่นกลับคืนมา แต่ขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องเสริมสร้างกลไกกำกับดูแลและการตรวจสอบภายในบริษัทจดทะเบียน รวมถึงการส่งเสริมความรู้และความตระหนักรู้ให้แก่นักลงทุน เพื่อป้องกันการทุจริตและรักษาเสถียรภาพของตลาดทุนไทยในระยะยาวอย่างต่อเนื่องไปด้วย