สะดุดไปแล้ว สำหรับแผนการดัน กิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ขึ้นนั่งประธานบอร์ดธนาคารแห่งประเทศไทย แม้จะฝ่าด่านอรหันต์จากคณะกรรมการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งประธาน และกรรมการ ธปท. ไปแล้ว แต่ก็ต้องถูกตีตกด้านคุณสมบัติจากคณะกรรมการกฤษฎีกา
ที่กำหนดว่า ต้องไม่เป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือต้องพ้นจากตำแหน่งทางการเมืองมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี แต่เนื่องจากที่ผ่านมา นายกิตติรัตน์ เคยดำรงตำแหน่งประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี (นายเศรษฐา ทวีสิน) อีกทั้ง เคยดำรงตำแหน่งคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย ซึ่งถือเข้าข่ายการดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ดังนั้น เมื่อนายกิตติรัตน์ ไม่สามารถเข้ามารับตำแหน่งได้แล้ว ก็อาจทำให้ภารกิจของรัฐบาลในการเข้ามาล้วงลูกแบงก์ชาติ สะเทือนไปด้วย เพราะอย่างที่รู้ว่ารัฐบาลปัจจุบันมีปัญหาเรื่องพื้นที่การคลังมีจำกัด มีหนี้สินจำนวนมาก ทำให้ต้องยืมมือภาคการเงินอย่างแบงก์ชาติ เข้ามาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจแทน ซึ่งจะขอสรุปภารกิจที่ถูกกระทบของรัฐบาล ดังนี้
- การแก้กฎหมายแบงก์ชาติ เพื่อต้องการโอนหนี้กองทุนฟื้นฟู และพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ให้ไปอยู่บัญชีบริหารหนี้ของ ธปท. แทนที่จะอยู่กับกระทรวงการคลัง เพื่อเปิดทางให้รัฐบาลกู้ หรือตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันรัฐบาลมีหนี้ ที่เข้าไปกู้เพื่อชดเชยกองทุนฟื้นฟูอยู่ 5.52 แสนล้านบาท หากโยกออกไปได้ จะมีหนี้สาธารณะลดลงไป 4.69% ของจีดีพี ทำให้ปัจจุบันหนี้สาธารณะจากอยู่ที่ 63.99% จะลดเหลือ 59% เศษทันที เท่ากับเพิ่มพื้นที่ทางการคลังให้รัฐบาลตั้งงบประมาณขาดดุล หรือกู้มาใช้ ผลักดันโครงการอื่นๆได้อีกมากโข
- การกำหนดนโยบายการเงิน อย่างที่รู้ แบงก์ชาติกับรัฐบาลเป็นไม้เบื้อไม้เมามาตลอด รัฐบาลทำอะไรจะถูกคัดค้านทั้งหมด แถมการลดดอกเบี้ยเงินกู้ของไทยก็ยังเป็นไปอย่างล่าช้า ไม่สอดคล้องกับกับความต้องการของรัฐบาล ที่ต้องการให้แบงก์ชาติช่วยลดดอกเบี้ยเร็วและแรง เพราะการทำนโยบายดอกเบี้ยต่ำ จะช่วยประคับประคองเศรษฐกิจ ลดภาระหนี้ให้ประชาชน ที่สำคัญยังเป็นการดูแลอัตราแลกเปลี่ยน ไม่ให้แข็งค่าเกินไป สามารถแข่งขันกับเอกชนได้ด้วย โดยมีเป้าหมายที่จะดันจีดีพีปีหน้าให้ถึง 3%
- นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ต้องติดตาม อย่างการนำเอาทุนสำรองระหว่างประเทศมาใช้ประโยชน์ ซึ่งแม้รัฐบาลจะปฏิเสธมาโดยตลอด แต่สวนทางกับที่นายกิตติรัตน์ เคยพูดว่าประเทศไทยมีทุนสำรองที่สูงเกินไป ดังนั้นการนำทุนสำรองระหว่างประเทศ ที่มีกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ มาใช้ประโยชน์กับเศรษฐกิจดีกว่าให้ทุนสำรองนอนกองอยู่เฉยๆ
อย่างไรก็ตาม เกมครั้งนี้ ยังไม่จบง่ายๆ เพราะถึงจะไม่มีนายกิตติรัตน์ เข้ามานั่ง แต่รัฐบาลก็ยังมีโอกาสเดินหน้ากระบวนการสรรหาใหม่ และเสนอชื่อบุคคลอื่นเข้ามานั่งเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติคนต่อไปได้อยู่ดี ซึ่งถือเป็นเรื่องร้อนที่ต้องติดตามกันต่อในปี 68