รัฐบาลของ “นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร” จัดของขวัญรัวๆแก่ประชาชนชาวไทย หวังให้ได้ชื่นใจรับปีใหม่ 2568 ทั้งการที่นายกรัฐมนตรีประกาศเริ่มโครงการ “30 บาท รักษาทุกที่” ระยะที่ 4 ครอบคลุมทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2568 ทำให้ผู้ถือสิทธิ์“บัตรทอง” ทั่วประเทศเพียงแค่พกบัตรประชาชน สามารถไปขอรับการรักษาได้ในโรงพยาบาลของรัฐทุกแห่ง และสถานพยาบาลในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
นอกจากนี้ ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันอังคารที่ 24 ธ.ค.2567 ที่ถือเป็นนัดสุดท้ายของปีนี้มีมติหลายเรื่องที่โปรยยาหอมด้านเงินๆทองๆให้ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นมติครม.ไฟเขียวโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการแจกเงินสด 10,000 บาท เฟส 2 ให้ประชาชนที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป และต้องเป็นผู้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” พร้อมทั้งผูกบัญชีระบบพร้อมเพย์แล้ว ประมาณ 4 ล้านคน จะเริ่มจ่ายเงินภายในเดือนม.ค.2568 ถือเป็นอีกก้าวของการเดินหน้าหนึ่งในนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาล
และยังมีมติเห็นชอบมาตรการ“อีซี่ อี-รีซีท (Easy e-Receipt) 2.0”ซึ่งเป็นการใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการเพื่อนำไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษี 2568 ระยะเวลาโครงการเริ่มตั้งแต่ 16 ม.ค.-28 ก.พ.2568 เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน พร้อมกับกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม
แต่สิ่งเหล่านี้ถูกมองว่าน่าจะเป็นการปลอบใจประชาชน และอาจเป็นการปลอบใจตัวเองของคนใน “รัฐบาลพ่อเลี้ยง” ที่ยังไม่สามารถผลักดันการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศให้สำเร็จตามปักหมุดไว้ก่อนจะก้าวไปสู่อัตราค่าแรงวันละ 600 บาทภายในปี 2570 โดยที่ประชุมครม.รับทราบตามที่กระทรวงแรงงานกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี 2568 เป็นอัตราวันละ 337 -400 บาท ตามมติคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 22 เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.2567 ซึ่งมี 4 จังหวัด คือ ภูเก็ต ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง และ 1 พื้นที่ คือ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ที่ได้ค่าแรง 400 บาท ส่วนที่เหลือก็ลดหลั่นไปตามสูตรคำนวณ โดยทั้งหมดมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2568
ซึ่งเรื่องนี้ทำให้รัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยคงจุกอกอยู่ไม่น้อย หลังจากพยายามทำทุกวิถีทางที่จะให้คณะกรรมการค่าจ้างที่ประกอบด้วยผู้แทนจากฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายลูกจ้าง เห็นชอบกับเป้าหมายนี้ แต่ก็ไม่สำเร็จสมบูรณ์ โดยผลักดันได้แค่ 4 จังหวัด และ 1 อำเภอ ส่วนกรุงเทพฯได้ค่าแรงวันละ 372 บาท
เรื่องดังกล่าวอาจถือได้ว่ารัฐบาลเดินหน้าอีกหนึ่งนโยบายสำคัญ คือการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทได้บ้าง แม้ยังไม่ครบทั่วไทย ขณะที่ “ดร.ธนิต โสรัตน์” อดีตประธานสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ ระบุว่า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทใน 4 จังหวัด 1 อำเภอ มาจากความรอมชอมของฝ่ายลูกจ้างและฝ่ายนายจ้างในคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งสุดท้ายประโยชน์ไปตกที่รัฐบาลสามารถนำไปแสดงเป็นผลงานว่าเริ่มทำตามที่ตัวเองหาเสียงได้แล้ว แม้ปรับขึ้นแค่บางพื้นที่
ด้าน “นายกฯแพทองธาร” ยอมรับว่า เกิดการสะดุด แต่นโยบายดังกล่าวจะมีการนำเข้าที่ประชุมอีกครั้ง ซึ่งคำให้สัมภาษณ์ดังกล่าวน่าจะสอดคล้องรายงานข่าวจากในที่ประชุมครม.ว่า หลังจากเริ่มใช้อัตราใหม่ไปแล้ว 3 เดือนในปีหน้า รัฐบาลพยายามผลักดันให้คณะกรรมการค่าจ้างพิจารณาทบทวนค่าจ้างใน 74 จังหวัด เพื่อไปสู่การปรับขึ้นเป็น 400 บาทให้ได้
ต้องติดตามตอนต่อไปว่าเปิดปีใหม่ รัฐบาลจะใช้กำลังภายในอะไรผลักดันนโยบายเรือธงให้ถึงฝั่งฝัน ประชาชนอยู่รอด