ทิ้งบอมบ์ใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างหนักหน่วง หลัง “นายทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้มากบารมีเหนือรัฐบาล เดินทางไปช่วย ”นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร” หรือ สว.ก๊อง ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่ ที่พื้นที่บ้านเกิดของตัวเอง แต่หนักมากสุด คงหนีไม่พ้น ”พรรคประชาชน (ปชน.)” แกนนำพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา กวาดเสียง สส. ได้ 7 ที่นั่ง คว้าชัยชนะเหนือพรรคเพื่อไทย (พท.) อย่างราบคาบ โดย สส.พรรค พท. ได้เพียง 2 ที่นั่ง จึงเชื่อว่า เป้าหมายในการคว้าชัยชนะนายกอบจ.เชียงใหม่ เพื่อหวังสร้างความมั่นใจ นำไปสู่การเลือกตั้ง สส. ที่ต้องการยึดพื้นที่ 10 ที่นั่งคืน

“พี่น้องเชียงใหม่จะคืน สส.ทั้ง 10 เขตให้พรรค พท. เขตนี้ผมปิ๊กมา ต้องคืนมาเน้อ สส.คนปัจจุบัน ก็ตั้งใจทำงานดี ทำแต่สภา อู้อย่างเดียว แต่อู้อย่างเดียวบ่ได้ มันต้องได้ทำด้วย พรรค ปชน. สงสัยเวลาตกฟากไม่ค่อยดี ท่าทางจะเป็นรัฐบาลลำบาก แสดงว่าอู้ได้แต่บ่ได้ทำ เอาพรรคที่อู้ได้ ทำจ้าง และได้ทำโต้ยดีกว่า อันนี้อู้ได้ แต่ทำจ้างบ่จ้าง ยังบ่ฮู้เน้อ แต่บ่ได้ทำแน่นอน เราต้องเลือกใช้คน ใช้พท.แหละ ยังไงก็มาแก้เศรษฐกิจ เมื่อไหร่ที่เศรษฐกิจแย่ไม่มีใครแก้ได้นอกจาก พท. ถ้ารวยแล้วมีคนละสักร้อยล้านไม่ต้องเลือกพท.ก็ได้“ นายทักษิณ กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งที่หอประชุมมหาวิทยาลัยแม่โจ้

เชื่อว่าต่อจากนี้ไปการตอบโต้ทางการเมืองระหว่างพรรคแกนนำรัฐบาลและแกนนำฝ่ายค้าน จะเข้มข้นดุเดือดแน่นอน เพราะแกนนำพรรค ปชน. คงไม่ยอมให้กระทำฝ่ายเดียว เพราะตั้งเป้าในการเลือกตั้งปี 70 ต้องได้ สส. 270 เสียง เพื่อได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และเป็นการป้องกันไม่ให้พรรคการเมืองต่างๆ ปฏิเสธร่วมจัดตั้งรัฐบาล

ขณะที่ “นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ“ หัวหน้าพรรค ปชน. ได้ออกมาตอบโต้นายทักษิณ กรณีการประกาศทวง สส.ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ คืนว่า “ก็ต้องลองดู” พร้อมทั้งยืนยันพรรค ปชน.เอง เราก็มีความมั่นใจเช่นเดียวกัน จ.เชียงใหม่ เรามี สส.เขตเป็นจำนวนมาก รวมถึงหลายพื้นที่ เราพร้อมสู้ศึกสนามเลือกตั้งท้องถิ่นและพร้อมจะเข้าไปเป็นนายก อบจ. เมื่อถามว่า การที่นายทักษิณมาช่วยนายกฯ เต็มสูบ ทำให้พรรค ปชน.ดร็อปลงหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ไม่ได้ดร็อปลงแม้แต่น้อย ขณะเดียวกันผ่านอุปสรรคขวากหนามต่างๆ ที่พรรค ปชน.เดินทางมาถึงในปัจจุบัน เรายิ่งมีบุคลากรมากขึ้น เป็นบุคลากรที่ทรงคุณค่าของพรรค ไม่ว่าจะเป็นแกนนำที่ปัจจุบัน การเป็นผู้ช่วยหาเสียง และอย่างน้อยที่สุดหากเราชนะเลือกตั้งสนาม อบจ. เราก็จะมีที่ปรึกษาที่เข้ามาช่วยนโยบายในการผลักดันเรื่องต่างๆ มากขึ้น จึงคิดว่าไม่ได้เป็นข้อด้อยหรืออุปสรรคอะไร

ส่วนความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ (รธน.) มีคำชี้แจงจาก “นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา“ ประธานรัฐสภา ให้ความเห็นถึงการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติม รธน.ว่ามีร่างแก้ไข รธน.รายมาตรา 17 ฉบับ และร่างแก้ไข รธน.ทั้งฉบับของพรรคประชาชน (ปชน.) ที่เสนอแก้ไขมาตรา 256 ให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) มายกร่าง รธน.ฉบับใหม่ ซึ่งคณะกรรมการฝ่ายกฎหมายของประธานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแล้ว มีความเห็นให้ส่งบรรจุเข้าระเบียบวาระ จะพิจารณาไปพร้อมร่างแก้ รธน.รายมาตรา ในวันที่ 14-15 ม.ค. 68 โดยวันที่ 8 ม.ค. 68 จะเชิญวิป 3 ฝ่าย และผู้แทนรัฐบาลมาหารือ จะหยิบฉบับใดมาพิจารณาก่อน ส่วนข้อกังวลเรื่องการทำประชามติ 2 ครั้ง จะเกิดความเสี่ยงมีผู้นำไปยื่นร้องศาล รธน.นั้น หวังว่าจะไม่มีใครนำเรื่องไปร้อง แต่ไม่ว่าจะทำประชามติกี่ครั้ง ร่างที่เสนอแก้ต้องได้รับเสียงเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภา ตั้งแต่วาระรับหลักการ ที่ต้องมีเสียงเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่ง และได้รับเสียงรับรองจากวุฒิสภา 1 ใน 3 ส่วนจะทันสภาชุดนี้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับคณะทำงาน แต่ประชาชนอยากเห็นการยกร่าง รธน.ใหม่เสร็จทันการเลือกตั้งปี 2570 ตนก็หวังเช่นนั้น

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากมีคนไปยื่นตีความ จะทำให้กระบวนการแก้ รธน.สะดุดหยุดลงหรือไม่ นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ไม่ทราบจะมีคนยื่นหรือไม่ ถ้ามีคนยื่นก็ไม่ทราบศาลจะรับหรือไม่ หรือถ้ารับก็ไม่ทราบคำวินิจฉัยจะเป็นเช่นใด ขึ้นอยู่กับสถานการณ์วันข้างหน้า แต่ถ้าปล่อยไว้ ไม่ได้บรรจุเข้าสู่วาระ ประชาชนจะรู้สึกเสียดายที่รอมาหลายปี แต่ไม่ขยับเดินไปข้างหน้า การบรรจุเข้าระเบียบวาระ อย่างน้อยทำให้พิจารณาได้วันที่ 14-15 ม.ค.นี้ เป็นข่าวดีช่วงปีใหม่ของประชาชน

แต่ความเห็นที่น่าสนใจ หนีไม่พ้น “นายพริษฐ์ วัชรสินธุ” สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรค ปชน. ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาการเมืองฯ กล่าวตอนหนึ่งในการเสวนามีการเสวนาในหัวข้อ “เขียนรัฐธรรมนูญใหม่กี่โมง” ว่า การพิจารณาในที่ประชุมรัฐสภา วาระที่ 1 น่าจะพิจารณาวันที่ 14-15 ม.ค. 2568 ซึ่งจะผ่านวาระ 1 ได้ ต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของ สส.–สว. ถ้าประธานสภาลงนามบรรจุเมื่อไหร่ สปอตไลต์จะฉายไปที่ สว.ทันที จึงต้องจับตาดูว่าถ้า สว.ไม่ถึง 67 คน ลงคะแนนเห็นชอบกับการมีสภาร่าง รธน. (ส.ส.ร.) มาจัดทำฉบับใหม่ แล้วคำพูดที่แถลงข่าวโดยพรรคการเมืองนั้น จะมีความหมายอย่างไร คนกลางที่ควรจะมีบทบาทหลัก ในการปิดรอยร้าวระหว่างพรรคร่วม ระหว่าง สส.–สว. ให้จัดทำ รธน.ใหม่ได้สำเร็จ ก็คือ นายกฯ เป็นบทพิสูจน์ที่นายกฯ จะแสดงภาวะความเป็นผู้นำ และความจริงใจในวาระ รธน. จะโน้มน้าวพรรคร่วมได้หรือไม่

นั่นหมายความว่า แกนนำพรรคฝ่ายค้าน โยนความรับผิดชอบให้ “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯ ในการโน้มน้าวพรรคร่วมรัฐบาล และสว. ซึ่งถือเป็นภารกิจที่ยาก เพราะดูท่าทีพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ที่ไม่เห็นด้วยกับการออกเสียงประชามติชั้นเดียว ซึ่งเป็นไปตามแนวทางเดียวกับวุฒิสภา หรือความพยายามที่จะดึงเสียง สว. 67 เสียง มาร่วมให้ความเห็นชอบในการแก้ไข รธน. ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะใครก็รู้ว่า สภาสูงถูกยกให้เป็น ”สภาสีน้ำเงิน” ซึ่งประกอบด้วย สว. 160 คน นั่นหมายความว่า ถ้า รธน.ไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา หัวหน้ารัฐบาลต้องตกเป็น ”แพะรับบาป” ทันที

ในขณะที่การเดินหน้านโยบายที่เคยสร้างชื่อให้รัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร คือ 30 บาทรักษาทุกที่ มายุค “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” เป็นนายกฯ ก็มาสานต่อ ”30 บาทรักษาทุกที่” เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.ที่ผ่านมา

นายกฯ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “Kick off 30 บาท รักษาทุกที่ เพื่อคนไทย สุขภาพดีถ้วนหน้า ระยะที่ 4 ครอบคลุมทั่วประเทศ 1 มกราคม 2568” โดยมีภาคีเครือข่ายภาคประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม โดย น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ขอเมอร์รี่คริสต์มาส วันนี้เป็นวันที่สดใสอีกวัน เป็นวันฤกษ์งามยามดีที่เราได้เปิดเฟส 4 ซึ่งจะเริ่มใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 2568 ทั่วประเทศ เพื่อลดปัญหาต่างๆ ของประชาชน ให้สามารถใช้ 30 บาทรักษาทุกที่ได้ทั่วทุกจังหวัด ถือเป็นความคืบหน้าเรื่องหนึ่งที่ดี เราใช้เวลา 1 ปีในการทำให้ครบทุกเขต นอกจากนี้ มีข้อมูลเพิ่มว่าคนที่ไม่เคยใช้ 30 บาทรักษาทุกโรคมาใช้ 30 บาทรักษาทุกที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 80,000 คน

นายกฯ กล่าวอีกว่า “ในปี 2568 รัฐบาลจะมีแนวทางในการพัฒนาระบบของสาธารณสุข บริการสุขภาพของผู้สูงอายุเพิ่มในเรื่องของการดูแลผู้ป่วยติดเตียง เพื่อที่จะดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย โดยรัฐบาลเปิดรับนักบริบาลผู้สูงอายุ 15,000 ตำแหน่งทั่วประเทศ เพื่อเน้นการจ้างงาน 2 กลุ่มคือกลุ่มนิสิต นักศึกษาที่จบใหม่ ที่กำลังหางานให้เป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุ และดูแลคนป่วย และ 2. กลุ่มที่เพิ่งเกษียณอายุ 60 ปี ไม่มีงานให้มีงานทำ หารายได้เพิ่ม เปิด 15,000 ตำแหน่งทั่วประเทศ ดูแลผู้สูงอายุทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มรายได้ในการเปิดเฟสสุดท้ายของ 30 บาทรักษาทุกที่ ก็หวังว่าคนไทยจะมีสุขภาพดีกันทั่วหน้า” นายกฯ กล่าว

ถือเป็นการสานต่อนโยบายสำคัญ เพราะเรื่องการรักษาพยาบาลถือเป็นปัจจัยสำคัญของมนุษย์ทุกคน โดยเฉพาะคนยากจนและมีรายได้น้อย ต้องถือว่า ”น.ส.แพทองธาร“ ใช้ความสำเร็จสมัย ”นายทักษิณ ชินวัตร“ เป็นนายกฯ มาต่อยอดในรัฐบาลของตัวเอง

“ทีมข่าวการเมือง”