รายงานยํ้าถึงวิกฤติที่ “เชื่อมโยง” กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการทำลายธรรมชาติ พร้อมเตือนถึง “การเปลี่ยนแปลง” ที่เกิดขึ้นใกล้ระบบนิเวศบางแห่ง เช่นการตัดไม้ทำลายป่าในแอมะซอน ซึ่งเปลี่ยนระบบนิเวศจากการเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอน ให้กลายเป็นแหล่งกำเนิดคาร์บอน

การเสื่อมโทรมและการสูญเสียที่อยู่อาศัยของสัตว์ ถือเป็นภัยคุกคาม ซึ่งมีการรายงานมากที่สุด ตามด้วยการใช้ทรัพยากรมากเกินไป, การรุกรานจากสิ่งมีชีวิตต่างถิ่น หรือเอเลียนสปีชีส์และโรคติดต่อ ขณะที่ภัยคุกคามอื่น ๆ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะในลาตินอเมริกา และแถบแคริบเบียน และมลพิษในอเมริกาเหนือ, เอเชียและแปซิฟิก ประชากรของสปีชีส์นํ้าจืดลดลงมากที่สุด รองลงมา ได้แก่ สัตว์มีกระดูกสันหลังบนบกและในทะเล

การลดลงในทวีปลาตินอเมริกาและแคริบเบียนอยู่ที่ร้อยละ 95 รองลงมาคือแอฟริกาที่ 76% และเอเชียและแปซิฟิก 60% ขณะที่ทวีปยุโรป, เอเชียกลาง และอเมริกาเหนือ พบการสูญเสียไม่มากนัก

อย่างไรก็ดีความพยายามในการอนุรักษ์และการปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ช่วยให้สัตว์บางสายพันธุ์มีจำนวนคงที่หรือเพิ่มขึ้น อาทิ กระทิงป่าในยุโรป ซึ่งหายไปจากป่าเมื่อปี 2470 มีจำนวนในพื้นที่คุ้มครองมากขึ้นถึง 6,800 ตัวเมื่อปี 2563 หลังการเพาะพันธุ์ที่ประสบความสำเร็จ

ขณะเดียวกัน งานวิจัยในวารสารวิทยาศาสตร์ “เนเจอร์” กล่าวหาดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟว่า มีอคติในการจัดดัชนีซึ่งแสดง
ตัวเลขที่ลดลงเกินจริง นายแอนดรูว์ เทอร์รี จากสมาคมสัตววิทยาแห่งกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร กล่าวว่า พวกเขามีความ
มั่นใจในความแข็งแกร่งของสปีชีส์ พร้อมยํ้าให้รายงานพิจารณาตัวบ่งชี้จากความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์, ความหลากหลายทางชีวภาพ และสุขภาพของระบบนิเวศ.