เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน แถลงถึงกรณีการยกเลิกรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ ที่เป็นการเอื้อทุนพลังงาน และการใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีในการยกเลิกการจัดซื้อดังกล่าวว่า วัตถุประสงค์ในการแถลงข่าวครั้งนี้ เพื่อต้องการให้เกิดความชัดเจนต่อตัวนายกรัฐมนตรี “ที่มีอำนาจเต็ม แต่กลับไม่ใช้ และมีทางเลือกที่ดีกว่า ถูกกว่า แต่กลับไม่ทำ” ซึ่งพรรคประชาชนมองว่าปัญหาเรื่องไฟฟ้าเป็นเรื่องที่ใหญ่ และสำคัญ แต่นายกรัฐมนตรีกลับเงียบกริบ
นายณัฐพงษ์ ได้โชว์แผ่นกระดาษที่มีข้อความโพสต์ของพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 66 ที่อยู่ในระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ที่แสดงจุดยืนของพรรคเพื่อไทย ไม่เห็นด้วยกับการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน 5,200 เมกะวัตต์ ที่ริเริ่มในสมัยรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี โดยลอต 3,600 เมกะวัตต์ในการแถลงครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับการรับซื้อพลังงานหมุนเวียนในยุค พล.อ.ประยุทธ์ โดยตรง ซึ่งมี 3 หัวข้อดังนี้ เรื่องแรก คือ พรรคประชาชนอยากมาให้ข้อเท็จจริง เพื่อลบข้อบิดเบือนที่นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลปัดความรับผิดชอบ ที่อ้างว่า นายกฯ ไม่มีอำนาจเต็มในเรื่องนี้ ซึ่งตามมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2565 ที่มีการเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า กพช. เป็นผู้กำหนดรับซื้อ และกำหนดราคาในการรับซื้อ โดยใช้วิธีการคัดเลือก ไม่ใช่ประมูล และราคาในการรับซื้อ มีการล็อกไว้ถึง 8 ปี ตั้งแต่ปี 2565-2573 ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราตั้งคำถามว่าเป็นกระบวนการที่ปราศจากความโปร่งใส ขาดการแข่งขัน และอาจทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟฟ้าแพงขึ้นในอีก 25 ข้างหน้า
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ รมว.พลังงาน ก็ตอบเป็นบันทึกการประชุมสภา ว่า ท่านเองก็ไม่เห็นด้วยจากกระบวนการดังกล่าว ตนจึงอยากจะย้ำประเด็นที่บอกว่านายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจเข้าไปก้าวก่ายกับคณะกรรมการ กพช. นั้นไม่เป็นความจริง เพราะโครงการนี้ริเริ่มจากสมัยรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ การจะยกเลิกได้จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงแนวนโยบายของรัฐ ผ่านการออกมติ กพช. ในสมัยรัฐบาลของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่สามารถทำได้ในการยกเลิกกระบวนการดังกล่าว
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า ส่วนความจำเป็นเร่งด่วน ที่ กพช.ออกประกาศเดินหน้าซื้อพลังงานหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยมีเส้นตายเพียงแค่ 14 วัน คือภายในวันที่ 30 ธ.ค.นี้ หากไม่ยกเลิกแล้ว เราจะไม่สามารถยกเลิกกระบวนการนี้ได้อีก ซึ่งตามระเบียบการรับซื้อของ กพช. ในข้อที่ 8 (2) มีการเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า กพช. ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกก่อนการลงนามในสัญญา นั่นหมายความว่าสามารถยกเลิกได้หากยังไม่มีการลงนามร่วมกัน และเหตุผลที่สามารถยกเลิกได้อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงแนวนโยบายแห่งรัฐ ที่ กพช. เป็นผู้กำหนด
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจะอ้างว่า ไม่สามารถควบคุมสภาพเสียงข้างมากใน กพช. เพื่อผ่านเป็นมติได้ รัฐบาลควรจะยุบสภา เพราะองค์ประกอบ กพช. ประกอบไปด้วยคณะกรรมการ 19 คน โดย 14 ใน 19 คน คือคณะรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งมาโดยตรง หากนายกรัฐมนตรีมีความชัดเจนว่า ประสงค์จะยกเลิกกระบวนการนี้ ท่านก็สามารถทำได้ แต่หากทำไม่ได้โดยอ้างว่าไม่สามารถคุมสภาพเสียงไว้ได้นั้น ก็แปลว่าท่านบริหารคณะรัฐมนตรีไม่ได้ ก็สมควรจะยุบสภา และออก และบอกกับประชาชนว่า ทำอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่คณะรัฐมนตรีที่แต่งตั้งมาด้วยตัวเองไม่เห็นชอบ ตนจึงเชื่อว่า ประเด็นนี้คนไทยอยากฟังคำตอบว่า นายกฯ มีอำนาจเต็มแต่ไม่ได้ใช้ และมีแนวดำเนินอย่างไรต่อไป
นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า เรื่องต่อมา คือ การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดของประเทศ พรรคประชาชนเห็นด้วยอย่างยิ่ง และพร้อมให้การสนับสนุนที่จะทำให้ประเทศไทย เปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานสะอาดที่มากขึ้นในอนาคต ที่ออกมาบอกว่ากระบวนการนี้ดีแล้ว ทำไมพรรคประชาชนต้องออกมาคัดค้าน ซึ่งตนอยากให้ความชัดเจนว่า เราไม่ได้คัดค้านการเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด เพียงแต่มีกระบวนการที่ดีกว่า และกระบวนการที่ถูกกว่า และไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วประเทศ ในการเปลี่ยนผ่านไปใช้พลังงานสะอาดดังกล่าว คือรัฐบาลมีช่องทางที่ดี และถูกกว่านี้ได้ แต่กลับไม่เลือกทำ เนื่องจากการรับซื้อพลังงาน มีการผูกสัญญาสัมปทานถึง 25 ปี และใช้วิธีการคัดเลือกปราศจากความโปร่งใส และอาจจะส่งผลให้คนไทยจ่ายค่าไฟแพงเกินจริงถึง 1 แสนล้านบาทใน 25 ปีข้างหน้า
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า อยากได้ความชัดเจนจากนายกรัฐมนตรี ว่าจะดำเนินการต่ออย่างไร โดยมีข้อเสนอ คือ 1.การเพิ่มโควตาการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงระหว่างผู้ใช้ไฟฟ้ากับโรงงานผู้ผลิตสินค้า หารือผู้ผลิตไฟฟ้าสะอาด ซึ่งตามแนวนโยบายของรัฐ ได้ให้โควตาอยู่ที่ 2,000 เมกะวัตต์ ถ้ารัฐบาลต้องการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานไฟฟ้าสะอาด รัฐบาลมีช่องทางเพิ่มโควตาได้โดยตรง ที่ไม่มีการผูกมัดที่ต้องให้ประชาชนรับผิดชอบร่วมกัน เพราะเป็นการตกลงโดยตรงระหว่างผู้ขายไฟฟ้ากับผู้ซื้อที่ต้องการใช้พลังงานสะอาด 2.หากรัฐบาลต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนในครัวเรือนหรือใช้พลังงานสะอาดมากขึ้นนั้น ในปัจจุบันเรามีโควตาการรับซื้อโซลาร์รูฟท็อป ซึ่งการไฟฟ้าไม่สามารถรับซื้อได้อีก และรัฐบาลสามารถเพิ่มโควตาการรับซื้อจากพ่อแม่พี่น้องประชาชน เพื่อให้ประชาชนสามารถติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปได้มากขึ้นมากกว่า 90 เมกะวัตต์ได้
นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า พรรคประชาชนไม่ได้ต่อต้าน หรือเห็นค้าน แต่เราสนับสนุนในการใช้พลังงานสะอาดในช่องทางที่ดีกว่าการรับซื้อพลังงานหมุนเวียนด้วยกระบวนการคัดเลือกมากกว่าการเปิดประมูล มาเป็นไดเร็ค PPA เป็นการเพิ่มโควตาโซลาร์รูฟท็อปเพื่อให้กับพ่อแม่พี่น้องประชาชน และเกิดประโยชน์กับคนส่วนมากสูงกว่า ทั้งนี้ ในขณะที่นายกรัฐมนตรีได้แถลงไว้บนผลงาน 90 วัน ว่าจะทลายทุนผูกขาด แต่สิ่งที่พวกเราเห็นทิศทางการดำเนินการนโยบายไฟฟ้าที่เป็นเรื่องใหญ่ กระทบต่อพ่อแม่พี่น้องประชาชนทั่วประเทศ และเป็นปัญหาปากท้อง ปัญหาเศรษฐกิจกิจเช่นเดียวกัน แต่รัฐบาลกลับไม่ออกมาให้ความชัดเจน สิ่งที่ตนอยากได้ความชัดเจน และเกี่ยวข้องกับประเทศในระยะยาว ที่เกี่ยวข้องกับการไฟฟ้าและการทลายทุนผูกขาดในประเทศ คือการเปลี่ยนไปสู่ระบบสมาร์ทบิด เพื่อให้ไฟฟ้าเข้าสู่ทุกครัว ประชาชนสามารถติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป เข้ามาสู่ตลาดของผู้ใช้ไฟฟ้า ผ่านกลไกการรับซื้อไฟฟ้าที่เป็นตลาดเสรี ไม่ต้องมีใครมากำหนดราคาตายตัว และไม่ต้องมีใครมาผูกขาดราคา
นายณัฐพงษ์ กล่าวด้วยว่า สิ่งต่างๆ ที่ตน และสังคมกำลังตั้งคำถาม ที่ปฏิเสธไม่ได้ตามภาพข่าวที่ผ่านมา คือเราพบว่าพ่อของนายกรัฐมนตรี นายทักษิณ ชินวัตร มีการออกไปตีกอล์ฟกับกลุ่ม CEO ธุรกิจพลังงาน เป็นสิ่งที่พวกเราอยากจะได้ความชัดเจน ว่าค่าไฟแพงไม่ใช่เรื่องของธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องของกลไกเชื้อเพลิงต่างประเทศ ที่รัฐบาลคุมไม่ได้ แต่อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญมากกว่า คือการผูกขาด และแนวนโยบายของรัฐที่นายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการใช้อำนาจนั้น ผ่านคณะกรรมการ กพช.
“วันนี้พวกเราอยากยืนยันว่า นายกฯ มีอำนาจเต็มแต่ไม่ใช้ รัฐบาลมีทางเลือกที่ดีกว่า ถูกกว่าสำหรับพ่อแม่พี่น้องประชาชน แต่ไม่ทำ และเรื่องไฟฟ้าเป็นเรื่องใหญ่ แต่นายกฯ เงียบกริบไม่เคยตอบ เลี่ยงไปพูดประเด็นอื่นๆ” นายณัฐพงษ์ กล่าว
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า เราอยากให้รัฐบาลดำเนินการต่างๆ นอกจากการยกเลิกการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ทันที และในฐานะผู้นำฝ่านค้าน ตนอยากให้นายกฯ แสดงความรับผิดชอบในสภา เพื่อเข้ามาโต้ตอบ และแสดงเหตุผลร่วมกันในสภา หากนายกฯ มาตอบก็จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับพี่น้องประชาชน และพรรคประชาชนพร้อมจะส่งตัวแทนขึ้นไปดีเบตกับพรรคเพื่อไทย เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลข่าวสารทั่วหน้า และเกิดประโยชน์สูงสุดกับพ่อแม่พี่น้องประชาชน
ผู้สื่อข่าวถามว่า กกพ. เปรียบเสมือนองค์กรอิสระไม่สามารถแทรกแซงได้ รัฐบาลจะดำเนินการได้อย่างไร นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า กกพ. ดำเนินการด้วยตัวเองไม่ได้ ถ้าไม่มีมติ กพช.กำกับ ดังนั้นหากยกเลิกก็สามารถยกเลิกได้โดยอาศัยมติ กพช. เช่นเดียวกัน พูดอีกมุมหนึ่ง กกพ. จะไปยกเลิกก็ไม่ได้ ผิดแนวนโยบายของรัฐที่ กพช.เป็นผู้กำหนด ซึ่งหากกว่านี้ถ้ารัฐบาลยกเลิก จะเกิดการฟ้องร้องหรือไม่ ตามระเบียบการรับซื้อของ กกพ. เขียนไว้ชัดเจนว่า กกพ.ขอสงวนสิทธิ์ในการยกเลิกโครงการดังกล่าวตั้งแต่ก่อนลงนามสัญญา และสามารถยกเลิกได้หากมีการเปลี่ยนแปลงแนวนโยบายของรัฐที่ต้องอาศัยมติ กพช. ออกมา
เมื่อถามว่าในเมื่อชุดข้อมูลฝ่ายค้านไม่ตรงกับรัฐบาล จะมีโอกาสไปพูดคุยกันหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่ตนคิดว่าเป็นวิธีที่เร็วที่สุดและไม่ต้องใช้เอกสารในการโต้ตอบคือการพูดคุยกัน จะผ่านกระทู้ถามสดในสภาหรือขึ้นเวทีดีเบต เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้แสดงเหตุผลของตัวเอง และให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน
ส่วนหากสุดท้ายแล้วรัฐบาลไม่สามารถใช้อำนาจยับยั้งสัมปทานนี้ได้ ฝ่ายค้านจะดำเนินการอย่างไรต่อ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตนต้องยืนยันก่อนว่ารัฐบาลมีอำนาจ แต่ถ้าไม่ยอมดำเนินการ แปลว่าจงใจที่จะไม่ยอมยกเลิกกระบวนการดังกล่าว ในฐานะพรรคฝ่ายค้านพวกเราพร้อมใช้ทุกเวทีไม่ว่าจะเป็นกรรมาธิการ รวมไปถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ก่อนไปถึงจุดนั้นยังพอมีเวลาที่นายกรัฐมนตรีสามารถแก้ไขปัญหาได้
เมื่อถามว่าหากไม่แก้ไขปัญหาถือว่ามีความผิดไปด้วยหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ในมุมหนึ่งก็คิดว่ามีความผิดต่อประชาชน เพราะที่พวกเราศึกษามาเป็นอย่างดี ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี กระบวนการนี้ถ้าปล่อยให้เดินหน้าต่อ จะส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกคนอย่างแน่นอน การเดินหน้าต่ออาจจะไม่ผิดกฎหมาย แต่ผิดต่อพี่น้องประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าทุกคน.