เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. ที่ศูนย์เอกซเรย์สินค้าขาเข้า สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI นายดิเรก คชารักษ์ รองอธิบดีกรมศุลกากร ร่วมกันแถลงผลจับกุมบุหรี่ไฟฟ้า ของกลางกว่า 47,495 ชิ้น มูลค่าของกลางกว่า 11 ล้านบาท หากหลุดรอดไปได้จะมีราคาเพิ่มอีกหลายเท่าตัว

พ.ต.ต.ยุทธนา เปิดเผยว่า เนื่องด้วยปัจจุบันมีการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในสังคมไทยเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับบุหรี่ไฟฟ้ายังคงเป็นสินค้าที่ไม่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าและจำหน่ายในประเทศ จึงเกิดขบวนการลักลอบนำบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาเพื่อจำหน่ายในราชอาณาจักร ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม รวมถึงสุขภาพของประชาชน โดยกำลังระบาดเข้าไปในกลุ่มวัยรุ่นรวมทั้งเด็กและเยาวชน ทำให้เกิดความกังวลใจของพ่อแม่ผู้ปกครอง ซึ่งในระยะยาวอาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงได้เล็งเห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า ประกอบกับได้มีการร้องขอจากภาคีอุตสาหกรรมยาสูบให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

พ.ต.ต.ยุทธนา เผยอีกว่า มอบหมายให้นายธานินทร์ เปรมปรีดิ์ ผอ.กองคดีภาษีอากร บูรณาการร่วมกับกรมศุลกากร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการสืบสวนสอบสวนขบวนการลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาภายในราชอาณาจักร ทั้งได้สั่งการให้ พ.ต.ต.กล้าหาญ คล่องพยาบาล รอง ผอ.กองคดีภาษีอากร นายปัณฑ์พิสิษฐ์ วิสาลเสสถ์ ผอ.ส่วนคดีภาษีอากร 2 พร้อมคณะ ทำการสืบสวนกรณีดังกล่าว และจากการสืบสวนทราบว่า จะมีการลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาภายในราชอาณาจักรผ่านทางท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี ระหว่างวันที่ 22-23 ธ.ค.67 โดยซุกซ่อนมาในตู้คอนเทเนอร์ปะปนกับสินค้าอื่น

พ.ต.ต.ยุทธนา เผยว่า จึงเป็นเหตุให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ลงพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี พร้อมด้วยคณะพนักงานสืบสวนกองคดีภาษีอากร ร่วมกับสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง โดยนายวุฒิ เร่งประดุงทอง ผอ.สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง พร้อมเจ้าหน้าที่ เข้าตรวจสอบสินค้าต้องสงสัยต้นทางมาจากประเทศจีน ผลการตรวจสอบพบบุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 47,495 ชิ้น มูลค่ารวมกว่า 10 ล้านบาท ถูกซุกซ่อนปะปนมากับสินค้าอื่นเข้ามาอยู่ภายในตู้คอนเทนเนอร์ อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 กรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงได้ร่วมกับกรมศุลกากร ยึดอายัดของกลางดังกล่าวไว้ และจะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

นายดิเรก เปิดเผยว่า ตามนโยบายของกรมศุลกากร ให้ความสำคัญกับการป้องกันและปราบปรามสินค้าต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักรประเภทบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อความปลอดภัยด้านสุขภาพของประชาชน จึงได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรเฝ้าระวังและเร่งรัดปราบปรามสินค้าประเภทบุหรี่ไฟฟ้าในการนำเข้าและนำผ่านราชอาณาจักร โดยเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2567 ปฏิบัติการร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ ทำการตรวจสอบตู้สินค้าต้องสงสัย 1 ตู้คอนเทเนอร์ ว่าอาจมีการนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า ซุกซ่อนปะปนมากับสินค้าอื่น

นายดิเรก กล่าวอีกว่า ซึ่งตู้สินค้าดังกล่าว มีเมืองกำเนิดประเทศจีน จึงได้ทำการอายัดตู้สินค้าเพื่อตรวจสอบโดยละเอียด จากการตรวจสอบพบ “บุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้ง จำนวนกว่า 47,495 ชิ้น” มูลค่าของกลางกว่า 11 ล้านบาท ทั้งนี้บุหรี่ไฟฟ้าจัดเป็นของต้องห้ามตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้า หรือบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 ลงวันที่ 12 ธันวาคม 2557 จึงอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 เจ้าหน้าที่จึงได้ยึดของดังกล่าว เป็นของกลางส่งสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป กรณีนี้เป็นความผิดตามมาตรา 202 ประกอบมาตรา 252 และมาตรา 244 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560

นายดิเรก กล่าวว่า จากการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างกรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมศุลกากร จึงเป็นผลสัมฤทธิ์ให้ในครั้งนี้ สามารถสกัดกั้นการนำเข้าสินค้าบุหรี่ไฟฟ้าไปใช้ให้เกิดปัญหาทางด้านสุขภาพ สุขอนามัย ของประชาชนภายในประเทศ โดยตลอดปี 2567 สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง ได้ดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับของต้องห้ามประเภทบุหรี่ไฟฟ้าแล้ว 9 ราย รวมจำนวนของกลาง 58,960 ชิ้น มูลค่าของกลางรวมกว่า 11.9 ล้านบาท และหากหลุดรอดไปได้จะมีราคาเพิ่มอีกหลายเท่าตัว