อาการท้องร่วง ท้องเสีย หรืออาหารเป็นพิษ เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่หากเข้าขั้นเป็นอาการท้องร่วงเฉียบพลัน ย่อมส่งผลรุนแรงต่อร่างกายของเรา ทั้งนี้ อาการดังกล่าวเกิดได้จากเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส ซึ่งมีตัวการอยู่หลายชนิด รวมถึง “โนไรไวรัส” ที่กำลังแพร่ระบาดขณะนี้ ทำให้เกิดอาการท้องเสีย คลื่นไส้ และหากเป็นผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ก็อาจมีอาการหนักถึงขั้นเสียชีวิตได้

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข บอกเล่าความรู้เกี่ยวสาเหตุและวิธีป้องกันเชื้อร้ายนี้ ว่า “โนโรไวรัส” เป็นไวรัสที่ติดต่อได้ง่าย มีความทนทานต่อความร้อนและน้ำยาฆ่าเชื้อต่างๆได้ดี ขณะเดียวกัน เชื้อดังกล่าวมักถูกตรวจพบมากขึ้นในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากสภาวะอากาศที่เย็น ทำให้เชื้อเจริญเติบโตได้ดี ส่งผลให้อาหารและน้ำดื่มมีโอกาสปนเปื้อน จึงมีโอกาสพบผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันจากเชื้อไวรัสชนิดนี้เพิ่มขึ้นในฤดูหนาว

“โนโรไวรัส” ทำให้เกิดโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบเฉียบพลันที่รุนแรงได้ในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ เนื่องจากเป็นวัยที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำกว่าวัยอื่นๆ แม้คนส่วนใหญ่ที่ป่วยด้วยโรคโนโรไวรัสจะหายดีภายใน 1-3 วัน แต่ยังสามารถแพร่เชื้อต่อได้อีก 2-3 วัน

สาเหตุการติดเชื้อ “โนโรไวรัส”

-จากการสัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อโนโรไวรัส

-การรับประทานอาหาร น้ำแข็ง หรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโนโรไวรัส

-การสัมผัสวัตถุหรือพื้นผิวที่มีการปนเปื้อนเชื้อ แล้วนำนิ้วที่ไม่ได้ล้าง เข้าปาก โดยเชื้อดังกล่าวมีระยะฟักตัวประมาณ 12-48 ชั่วโมง หลังได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย

อาการของผู้ติดเชื้อโนโรไวรัส

มีอาการท้องเสีย อาเจียน คลื่นไส้ ปวดท้อง ร่วมกับมีอาการอื่นๆ ได้แก่ มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย แต่อาการจะดีขึ้นภายใน 1-3 วัน แต่บางรายอาจนานถึง 5 วัน

การรักษาหลังติดเชื้อโนโรไวรัส

ไม่มียารักษาเฉพาะ จึงต้องเป็นการรักษาตามอาการ และต้องดื่มน้ำมากๆ เพื่อทดแทนของเหลวที่ร่างกายสูญเสียไปจากการอาเจียนและท้องเสีย ซึ่งจะช่วยป้องกันการขาดน้ำ

วิธีป้องกันเชื้อโนโรไวรัส

@ ต้องล้างมือด้วยน้ำและสบู่อย่างน้อย 20 วินาที เป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะแอลกอฮอล์ไม่สามารถฆ่าเชื้อนี้ได้ โดยต้องล้างมือทุกครั้งหลังเข้าห้องน้ำก่อนและหลังรับประทานอาหาร หรือประกอบอาหาร

@ รับประทานอาหารปรุงสุก หากเป็นอาหารค้างมื้อ ควรอุ่นอาหารให้ร้อนจัดก่อนรับประทานทุกครั้ง

@ ล้างผักผลไม้ให้สะอาดก่อนรับประทาน 

@ ทำความสะอาดพื้นผิวด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อที่มีส่วนผสมคลอรีน

สำหรับผู้ที่ป่วยด้วยโนโรไวรัส ควรงดการไปโรงเรียนหรือสถานที่รับเลี้ยงเด็ก งดออกไปทำงาน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ จนกว่าจะอาการดีขึ้น

ดังนั้น การป้องกันตัวจากเชื้อโนโรไวรัส ทำได้ด้วยการใส่ใจความสะอาดและสุขลักษณะของตัวเองและคนใกล้ชิด จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้ไม่น้อย