จากกรณีประเทศสิงคโปร์บังคับใช้กฎหมายให้ธนาคาร และค่ายโทรศัพท์มือถือ ร่วมรับผิดชอบหากลูกค้าถูกหลอกผ่านช่องทางออนไลน์ นำมาสู่ข้อเรียกร้องให้ประเทศไทยดำเนินรอยตาม นั้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 67 พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. กล่าวว่า ในไทยมีการดำเนินการในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน โดยหากเทียบมาตรการของประเทศไทยกับประเทศสิงคโปร์ถือว่ามีความใกล้เคียงกัน เพียงแต่ว่า อาจมีบางมาตรการที่มีความชัดเจน อย่างในเรื่องของการป้องกันกรณีบัญชีกับโทรศัพท์ ซึ่งประเทศไทยเรามีการกำหนดเหตุอันควรสงสัยสำหรับสถาบันการเงินเอาไว้ 19 ข้อ อาทิ บัญชีที่มีการโอนเงินเข้าและออกที่มีมูลค่าน้อย ในระยะสั้นหลายครั้ง ก่อนที่จะมีการโอนยอดเงินสูงออกจากบัญชีดังกล่าวไปทันที, บัญชีที่มีปริมาณการโอนเงินเข้าออกจำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งการประชุมคณะกรรมการเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางสถาบันการเงินได้เสนอเพิ่มอีกหนึ่งข้อ และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเสนอเพิ่มอีกหนึ่งข้อ คือ พฤติกรรมต้องสงสัยเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซี โดยทางสถาบันการเงินได้รับเรื่องไปพิจารณา ซึ่งพฤติกรรมต้องสงสัยเหล่านี้ทางสถาบันการเงินธนาคารจะใช้อำนาจตาม ม.6 แห่ง พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ระงับธุรกรรมไว้ก่อน 7 วัน เพื่อทำการตรวจสอบ ซึ่งอันนี้จะใกล้เคียงกับมาตรการที่ประเทศสิงคโปร์มี
“ส่วนมาตรการในเรื่องของความรับผิดชอบ ประเทศไทยมีกฎหมายหลายฉบับที่สามารถดำเนินการได้เช่นเดียวกับสิงคโปร์ทันที ยกเว้นฉบับที่ 3 เรื่องธนาคาร และผู้ให้บริการโทรศัพท์ต้องร่วมรับผิด ที่เรามี พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กำหนดหน้าที่ให้ธนาคารและผู้ให้บริการโทรคมนาคมอยู่แล้ว แต่ยังไม่มีการกำหนดบทลงโทษ ซึ่งในส่วนนี้ทางธนาคารแห่งประเทศไทย และ กสทช. สามารถออกกฎเพิ่มเติมได้” ผบช.สอท. กล่าว
ผบช.สอท. กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม อยู่ระหว่างการเสนอแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอยู่ ซึ่งอาจจะมีการปรับเพิ่มในส่วนตรงนี้เข้าไปด้วย อย่างไรก็ตาม ขอนำเรียนว่ามาตรการของไทยในการป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรมทางออนไลน์ไม่ได้ด้อยไปกว่าประเทศสิงคโปร์ เพียงแต่พี่น้องประชาชนอาจจะยังไม่ทราบ จึงอยากประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องได้รับทราบและให้เกิดความมั่นใจว่า ทางเจ้าหน้าที่นั้นได้ตระหนักถึงโทษและภัยของอาชญากรรมออนไลน์ที่เกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชน

พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวว่า ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ได้มีกรณีตัวอย่างที่ศาลสั่งให้สถาบันการเงินชดใช้เงินให้กับผู้เสียหายในคดีคอลเซ็นเตอร์และคดีหลอกลวงทางออนไลน์ ซึ่งแนวทางศาลก็จะมาเทียบเคียงกับแนวทางทั้ง 19 ข้อว่าทางสถาบันการเงินได้ทำตามหรือไม่ หากไม่ทำตามก็ต้องมีการรับผิดชอบร่วมความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นกรณีทางแพ่ง แต่หากจะมีโทษทางอาญาเหมือนประเทศสิงคโปร์ทางธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ กสทช. จะต้องไปออกกฎ และเชื่อว่ามาตรการของไทยไม่ได้ด้อยหรือยิ่งหย่อนไปกว่าประเทศสิงคโปร์
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ขณะนี้ทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และอยู่ระหว่างการนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยที่ประชุมคณะกรรมการตาม พ.ร.ก. ได้หารือในรายละเอียดการแก้ไข พ.ร.ก.ดังกล่าวมีหลายเรื่อง โดยมาตรการที่ 1 การมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบของธนาคารพาณิชย์ และโอเปอเรเตอร์ มาตรการที่ 2 คือ การจ่ายเงินคืน และมาตรการที่ 3 เพิ่มโทษผู้กระทำความผิด ส่วนรายละเอียดการคืนเงินให้กับผู้เสียหายอยู่ระหว่างการพูดคุย ซึ่งยังไม่มีกำหนด และไม่ต้องนำเรื่องเข้าที่ประชุมสภา สามารถดำเนินการได้เลย โดยแนวทางหากออกมาตรการไปแล้ว และโอเปอเรเตอร์รวมถึงธนาคาร ไม่ปฏิบัติตามทำให้เกิดความเสียหาย ต้องมีส่วนร่วมในเงินที่ประชาชนเสียไป ทั้งนี้ มติของที่ประชุมระบุว่าต้องดำเนินการเพื่อตัดทุกช่องทางของมิจฉาชีพ ซึ่งทางผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ และธนาคารต่างเห็นด้วย
โดยมีรายงานว่าในวันที่ 1 ม.ค. 68 จะมีอีก 1 มาตรการออกมาเพื่อป้องกันปัญหาอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ต คือ การส่ง SMS ไปยังโทรศัพท์ต่างๆ ที่จะมีการแนบลิงก์เพื่อลงทะเบียน ผู้ส่งต้องแจ้งสถานะว่า เป็นใคร หากไม่พบข้อมูลผู้ส่ง โอเปอเรเตอร์จะมีการระงับการส่งดังกล่าว ซึ่งการแก้ไข พ.ร.ก. ครั้งนี้ เป็นการนำบทเรียนจากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเพิ่งออกกฎหมายลักษณะเดียวกันมาใช้ โดยไทยหวังให้มาตรการนี้สามารถปิดทุกช่องโหว่ที่มิจฉาชีพเคยใช้ผ่านระบบธนาคารและผู้ให้บริการโทรคมนาคม ไม่ว่าจะเป็นการส่งข้อความหลอกลวง หรือการโอนเงินเข้าสู่บัญชีมิจฉาชีพ.