เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ที่กระทรวงกลาโหม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมสภากลาโหม ว่า เป็นการประชุมสภากลาโหมครั้งสุดท้ายของปี 2567 โดยมีเรื่องสำคัญหารือรายงานการจัดทำสมุดปกขาว ที่กำหนดทิศทางของกองทัพในส่วนต่างๆ เข้ามาอยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์เดียวกัน โดยที่ผ่านมาแต่ละหน่วยของกลาโหมมียุทธศาสตร์ของตัวเอง และดำเนินการกันไปไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ขณะนี้ต้องการให้กำลังพล และส่วนต่างๆ ในกองทัพทั้งหมด มีทิศทางที่เดินไปเป็นทิศทางเดียวกัน โดยเป็นการกำหนดทิศทางกองทัพตั้งแต่ปี 2569-2580
นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องที่ 2 เกี่ยวข้องกับกฎหมายกระทรวงกลาโหม โดยที่ประชุมได้รับทราบรายงานความคืบหน้าและนำร่างแก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม พ.ศ. … ฉบับของนายสุทิน คลังแสง ที่เคยอนุมัติไว้ มาพิจารณา เพื่อดำเนินการและนำไปประกบกับร่างของพรรคการเมืองในสภา โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะนำร่างของกระทรวงกลาโหมเป็นร่างหลักของรัฐบาล จึงต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโดยเร็วที่สุด ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการในบางประเด็น จากนั้นจะนำเข้าสู่ที่ประชุมสภากลาโหมอีกครั้ง โดยจะใช้เวลาไม่นาน เพราะต้องมีการหมุนเวียนและถามความเห็นจากฝ่ายต่างๆ เพื่อเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ให้เป็นร่างของรัฐบาลที่จะประกบเข้าสู่สภา
เมื่อถามว่าผู้บัญชาการเหล่าทัพ ได้มีข้อเสนอแนะหรือท้วงติงในประเด็นการปรับย้ายนายทหารที่เกี่ยวข้องกับการทำรัฐประหารหรือไม่นั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า วันนี้เป็นเพียงการแจ้งให้ที่ประชุมรับทราบ แต่การพูดคุยกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้เกี่ยวข้อง รวมถึงรมช.กลาโหม คงจะคุยในรายละเอียดต่อไป แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่การทำให้ผลการดำเนินงานต่างๆ ดีที่สุด และบางเรื่องที่เสนอไปไม่ตอบโจทย์ หรือสร้างผลกระทบ และเป็นปฏิกิริยาที่ไม่ดีกับเหล่าทัพ ก็ไม่อยากให้เกิดการสะเทือน เพราะย้ำไปแล้วว่า หากจะมีการปรับเปลี่ยนก็ต้องทำให้เกิดประโยชน์ที่สุด เพราะพูดแล้วว่าเป็นการเปลี่ยนผ่าน ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงอะไรทันที ดังนั้นหลายเรื่องต้องพูดคุยกัน
เมื่อถามต่อว่าการให้อำนาจนายกรัฐมนตรีปรับย้ายนายทหารที่เกี่ยวข้องกับการทำรัฐประหาร ตามร่างเดิม ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์นั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่ใช่การจัดทำร่างใหม่ขึ้นมา แต่ใช้ร่างของนายสุทินที่ผ่านสภากลาโหมมาแล้ว เป็นร่างหลักของรัฐบาล ยอมรับมีข้อวิพากษ์วิจารณ์และข้อที่ต้องคำนึงถึง ซึ่งกองทัพก็จะเก็บส่วนนี้ไปพิจารณาต่อไป เพราะขณะนี้ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายการเมืองกับกองทัพเป็นไปด้วยดี ช่วยเหลือร่วมมือกัน จึงอยากให้ร่วมมือกันทำงานมากกว่า โดยเรื่องนี้ได้มอบหมายให้ รมช.กลาโหม และปลัดกลาโหม เป็นผู้ประสานงาน.