นับตั้งแต่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดให้วันเสาร์ที่ 1 ก.พ. 68 เป็นวันเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และนายก อบจ. โดยเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 23 ธ.ค. 67-27 ธ.ค. 67 เท่ากับช่วยเพิ่มอุณหภูมิการเมืองร้อนขึ้นมาทันที เพราะสองพรรคการเมืองใหญ่ ทั้ง “เพื่อไทย (พท.)” และ “ประชาชน (ปชน.)” ต่างก็วาดหวังในการยึดครองที่นั่ง ส่งผู้สมัครลงชิงตำแหน่งผู้นำท้องถิ่น เพราะหวังจะใช้เก้าอี้ดังกล่าว มาขยายผลสู่ความสำเร็จในการเลือกตั้งระดับชาติ เพราะพรรค พท.ตั้งเป้าหมายในการเลือกตั้งครั้งหน้า ต้องได้ สส. 200 เสียงขึ้นไป หลังจากต้องประสบความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย (ทรท.) โดยได้ สส.เพียง 140 ที่นั่ง พ่ายแพ้ให้กับพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ก่อนจะมาเปลี่ยนเป็นพรรค ปชน. ซึ่งได้ สส. 151 ที่นั่ง แต่กลับต้องตกมาเป็นแกนนำพรรคฝ่ายค้าน ทำให้บรรดาพลพรรคสีส้มตั้งเป้าหมายต้องได้ สส. 270 ที่นั่ง เพื่อเป็นแกนนำรัฐบาล โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาในการหาจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้นอะไรที่เป็นประโยชน์กับพรรค ทางแกนนำพรรค ปชน. ต้องทำทุกวิถีทาง

ขณะที่ “นายสรวงศ์ เทียนทอง” รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะเลขาธิการพรรค พท. กล่าวถึงความพร้อมการเลือกตั้งนายก อบจ. หลายพื้นที่ในนามพรรค พท. ว่าพรรคจะเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.เพิ่มอีก 6 คน โดยวันที่ 24 ธ.ค. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรค พท. จะแถลงข่าวเปิดตัว ประกอบด้วย นางยลดา หวังศุภกิจโกศล อดีตนายก อบจ.นครราชสีมา และอีก 5 จังหวัดคือ มุกดาหาร หนองคาย บึงกาฬ น่าน และปราจีนบุรี โดยพรรค พท.ค่อนข้างมั่นใจในสนามที่เราส่ง เพราะเราเลือกส่งในจังหวัดที่มั่นใจ โดยพรรค พท.มีนโยบายกลางให้ผู้สมัครลงไปทำความเข้าใจกับประชาชน ที่สำคัญท้องถิ่นกับการเมืองระดับชาติถ้าไม่ได้ไปทางเดียวกัน โอกาสพัฒนาจะค่อนข้างยาก
ส่วน “นายทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นขุนพลสำคัญ ที่ช่วยหาเสียงในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น เตรียมเดินทางกลับบ้านเกิด จ.เชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 23-25 ธ.ค. 67 เพื่อช่วย นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร หรือ “สว.ก๊อง” หาเสียงชิงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่ หลังการเลือกตั้งใหญ่ที่ผ่านมา พรรค พท.ต้องพ่ายแพ้พรรค ก.ก. อย่างหมดรูป ได้ สส. เพียง 2 ที่นั่ง ซึ่งคู่แข่งสำคัญคงหนีไม่พ้นตัวแทนจากพรรค ปชน. ก่อนหน้านั้นอดีตนายกฯ ก็ไปช่วยหาเสียงให้ผู้สมัครนายกอบจ.อุดรธานีของพรรค พท. จนนำไปสู่ชัยชนะ จึงคาดหวังในสนามอื่นจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้พรรคแกนนำรัฐบาล ซึ่งมีบุตรสาว “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” เป็นหัวหน้าพรรคและนายกฯ

ขณะที่ “พรรค ปชน.” เตรียมจัดทัพรับศึกเลือกตั้ง นายก อบจ. โดยพรรคจะส่งลงชิงเก้าอี้นายก อบจ.ทั้งหมด มี 17 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ชลบุรี ตราด นครนายก นนทบุรี ปราจีนบุรี พังงา ภูเก็ต มุกดาหาร ระยอง ลำพูน สงขลา สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สุราษฎร์ธานี และ เชียงใหม่ โดยทางทีมยุทธศาสตร์ เปิดเผยว่า จะใช้กลยุทธ์หาเสียงหลัก แบบเดียวกับการเลือกตั้งทั่วไปของพรรคสีส้ม ขายยี่ห้อการเมืองใหม่ด้วยนโยบายโดยไม่ใช้กระสุน เพื่อต่อกรกับบรรดาบ้านใหญ่ ซึ่งทีมยุทธศาสตร์มองทุกพื้นที่ดังกล่าวมีลุ้นทั้งหมดและคาดหวังเปิดซิงนายก อบจ.สีส้มภาคละ 1 เก้าอี้ ส่วนจุดที่มองกระแสติดลมบน ต้องจับตาไปที่ 4 จังหวัด คือ สมุทรปราการ สมุทรสาคร ระยอง และ ตราด
แต่สิ่งที่ทางทีมยุทธศาสตร์เป็นกังวล คือกรณี ที่ทาง กกต.ยืนกระต่ายขาเดียว ไม่เปลี่ยนแปลงเรื่องเลือกตั้งสนาม อบจ. วันเสาร์ที่ 1 ก.พ. 68 นั้นเป็นอุปสรรคการออกมาใช้สิทธิของประชาชนวัยทำงานอาจลดฮวบ เพราะบริษัทเอกชนส่วนใหญ่ ซึ่งทำงาน 6 วัน ต่อสัปดาห์ ไม่มีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เหมือนกับข้าราชการ และที่น่ากังวล ไม่ใช่เฉพาะฐานเสียงหนุ่มสาวโรงงานของพรรค ปชน.อย่างเดียวเท่านั้น แต่กังวลเรื่องการออกมาใช้สิทธิของแรงงานทุกเพศทุกวัยส่วนมากของประเทศ ที่ไม่ได้หยุดงานวันเสาร์ จะหดหายไปด้วย จากการยืนกระต่ายขาเดียวของ กกต. จึงอยากให้สื่อมวลชนช่วยกันประชาสัมพันธ์วันเลือกตั้ง 1 ก.พ. 68 ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งให้มากที่สุดด้วย

นอกจากนี้ ในวันที่ 23 ธ.ค. ซึ่งเป็นวันเปิดรับสมัครนายก อบจ. นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค ปชน. จะไปร่วมที่ จ.นนทบุรี นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร รองหัวหน้าพรรค จ.จันทบุรี และตราด นายศรายุทธิ์ ใจหลัก จ.ภูเก็ต และรับผิดชอบพื้นที่ภาคใต้ น.ส.ศิริกันยา ตันสกุล รอง หัวหน้าพรรค จ.ปราจีนบุรี และชลบุรี นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ กรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) จ.มุกดาหาร นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ จ.สมุทรสาครและสมุทรสงคราม และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า จ.สมุทรปราการ และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ปรึกษาประธานคณะก้าวหน้า จ.เชียงใหม่ เป็นต้น
เชื่อว่า การหาเสียงเพื่อช่วงชิงเก้าอี้ผู้นำท้องถิ่น ต้องเต็มไปด้วยความเข้มข้นและดุเดือดแน่ๆ เพราะนอกจากสองพรรคใหญ่ พรรคการเมืองอื่นที่ใช้บ้านใหญ่เป็นฐานเสียง ก็คงไม่ปล่อยให้คู่ต่อสู้ช่วงชิงเก้าอี้ไปได้ง่ายๆ ต้องมุ่งรักษาฐานเสียง ดังนั้นใครที่ลงสนามสู้ศึกเลือกตั้ง คงไม่มีใครยอมใครแน่ๆ นั่นหมายความว่าตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นไป ความเคลื่อนไหวทางการเมือง จะเป็นเรื่องที่หลายคนต้องติดตามและให้ความสนใจ ยังไม่นับการเตรียมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร

ส่วนการผลักดันผลงานของรัฐบาล ผ่านทางกระบวนการนิติบัญญัติในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อทำคลอดกฎหมาย “นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ” สส.บัญชีรายชื่อ และประธาน สส.พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวถึงการพิจารณากฎหมายในสภา ในสมัยประชุมที่เพิ่งเปิดเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 67 ว่า จะพิจารณากฎหมายที่จำเป็นเร่งด่วนก่อให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ได้มากที่สุด ที่ผ่านมารัฐบาลเพิ่งเข้ามาทำงานจึงเดินหน้าได้ไม่เต็มที่ แต่คิดว่าสมัยประชุมนี้น่าจะทำได้มากขึ้นประมาณ 20 ฉบับ เช่น ร่างพ.ร.บ.ประมง ที่ก่อนหน้านี้มี พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ออกมาทำให้เราเสียอำนาจทางการประมงไป พ.ร.บ.ฉบับนี้จะเข้ามาแก้ไข ทำให้ประชาชนทำการประมงได้สะดวกมากขึ้น พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ที่จะเข้ามาขับเคลื่อนนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย
ประธานวิปรัฐบาล กล่าวอีกว่า มั่นใจว่าสมัยประชุมนี้เราจะทำได้อย่างเต็มที่ เรื่องกฎหมายไม่ได้กังวล แต่กังวลเรื่องเดียวคือการให้ สส.ร่วมประชุมสภา ในวันพุธ พฤหัสบดี ขอให้ประชาชนอย่าเชิญ สส.ไปร่วมกิจกรรมในวันดังกล่าว นอกจากงานที่จำเป็นจริงๆ เช่น งานที่ต้องแต่งตัวขาวดำ ตนอยากให้ สส.ให้ความสำคัญกับสภา ถ้าไม่ใช่งานขาวดำหรือมีใครเจ็บป่วยในครอบครัว อยากให้อยู่ประชุมสภา เพราะหน้าที่หลักของ สส.คือต้องตรากฎหมาย หากจะเดินสายออกงานหาเสียงในพื้นที่มันไม่ใช่ตอนนี้ ประชาชนเลือกให้มาทำงานในสภาแล้ว และตั้งแต่ตนเป็นประธานวิปมา แม้จะมีข้อผิดพลาดอะไรบ้าง แต่สภาไม่เคยล่ม ต้องขอบคุณสมาชิกที่ให้ความร่วมมือก็ขอให้ช่วยกันทำงานเหมือนสมัยที่ผ่านมา

ส่วนการเสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมของพรรค พท. นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า มีกฎหมายนิรโทษค้างในสภา 4 ฉบับ ของพรรค พท. อยู่ระหว่างการตรวจความเรียบร้อย คิดว่าน่าจะเสร็จสิ้นหลังเดือน ม.ค. 68 สิ่งสำคัญการเสนอกฎหมายอะไรของพรรคการเมือง ต้องคุยกับวิปรัฐบาลให้จบก่อน แล้วให้ทุกพรรคนำเรื่องที่คุยกันในวิปรัฐบาล ไปหารือในพรรคของตนเอง จะไม่ต่างคนต่างเสนอ เพราะถ้าเสนอแล้วมีคนไม่เห็นด้วย ประชาชนจะมองว่าพรรคร่วมขัดแย้งกัน ต้องคุยกันก่อนว่ามีมติอย่างไร หลังจากนี้การเสนอกฎหมายอะไรในนามพรรคการเมือง ต้องปรึกษาในวิปรัฐบาลก่อน ถ้าขัดกันไม่ต้องเสนอ มันจะเสียเวลา แนวทางนี้น่าจะเป็นทางออกที่ดีในการทำงานร่วมกัน
คงต้องรอดูผลการทำคลอดกฎหมายของรัฐบาล จะผลักดันสิ่งที่เป็นประโยชน์กับประชาชนได้มากแค่ไหน รวมทั้งการพิจารณาร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม จะทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ โดยเฉพาะการนำบทเรียนที่เกิดขึ้นกับ พ.ร.บ.ออกเสียงประชามติที่ในพรรคร่วมรัฐบาลเห็นตรงกันว่า มาทบทวนการทำงานในสภา การเสนอกฎหมายอะไรของพรรคการเมือง ต้องคุยกับวิปรัฐบาลให้จบก่อน แล้วให้ทุกพรรคนำเรื่องที่คุยกันในวิปรัฐบาล ไปหารือในพรรคของตนเอง จะไม่ต่างคนต่างเสนอ เพราะถ้าเสนอแล้วมีคนไม่เห็นด้วย ประชาชนจะมองว่าพรรคร่วมขัดแย้งกัน ถือเป็นการปรับแนวทางการทำงานของพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อเตรียมรับมือศึกใหญ่คือ การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งพรรคฝ่ายค้านนำโดย “ปชน.” คงจัดหนักจัดเต็ม เพื่อสร้างผลงานให้เป็นที่ประทับใจประชาชน สะสมคะแนนนิยมก่อนที่จะไปถึงการเลือกตั้งใหญ่

มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ หลังปรากฏภาพ “นายทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ และนายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมตีกอล์ฟ ที่สนามกอล์ฟ Stone Hill club จ.ปทุมธานี หลังเกิดกระแสข่าว พรรค พท. และพรรค ภท. เกิดความระหองระแหงกันในการร่วมรัฐบาล เมื่อ นายทักษิณ ไปสัมมนาของพรรค พท. ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมา และโจมตีพรรคร่วมรัฐบาล ที่ไม่เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการออก พ.ร.ก.เกี่ยวกับมาตรการทางภาษีระหว่างประเทศ ว่าเป็น “อีแอบ”
รวมถึงต่อมา พรรค พท. ออกแคมเปญ 180 วัน รอได้เพื่อรัฐธรรมนูญ (รธน.) ประชาชน อย่าเชื่อ “อีแอบ” ล็อกสองชั้น รัฐบาลต้องลงเรือลำเดียวกัน หลังจากที่พรรค ภท. โหวตสวนใน ร่าง พ.ร.บ.ออกเสียงประชามติ โดยยืนหลักเสียงข้างมากสองชั้น ในการประชุมสภา เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมา

ในทางการเมืองต้องถือว่า ความเคลื่อนไหวช่วยสยบรอยร้าวระหว่าง “พท.” กับ “ภท.” เพราะนายทักษิณถือเป็นผู้มีบารมีเหนือรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และพรรคแกนนำรัฐบาล ซึ่งอาจเป็นเพราะอดีตนายกฯ ยังไม่พร้อมแตกหักพรรคร่วมรัฐบาลที่มีเสียงเป็นอันดับสอง เพราะการเลือกตั้งครั้งหน้ายังหวังได้ “ภท.” มาเป็นพันธมิตรในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะไม่แน่ใจว่าจะได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภา (250 เสียง) หรือไม่
“ทีมข่าวการเมือง”