เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.เฉลิมพระเกียรติ สภ.ประโคนชัย รวมถึงเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยสว่างจรรยาธรรมและหน่วยกู้ภัยสองเมือง เข้าร่วมตรวจสอบป่าเขาพนมรุ้ง เขตรอยต่ออ.ประโคนชัย และอ.เฉลิมพระเกียรติ ระหว่างบ้านหินกอง ต.ประทัดบุ อ.ประโคนชัย หลังมีคนหาของป่าแจ้งผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ว่าพบกะโหลกศีรษะมนุษย์ และชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์กระจัดกระจายทั่วบริเวณ และคาดว่าผู้ตายที่พบเป็นกระดูกน่าจะเสียชีวิตได้ไม่เกิน 2 สัปดาห์ เพราะยังมีกลิ่นเหม็น
สอบถามนายเสริม กล้ายประโคน อายุ 50 ปี คนเห็นกระดูกคนแรก เล่าว่า ตนกับเพื่อนออกจากบ้านตั้งแต่ตอนเช้าเพื่อไปหาต่อนกเขาในป่าแห่งนี้ ยอมรับว่าตอนขาไปได้กลิ่นเหม็นแต่ไม่ได้สนใจ พอขากลับเจอกะโหลกมนุษย์ก่อน เมื่อหันไปมาพบกระดูกทั้งแขน ขา และสะโพกอยู่เกลื่อนทั่วบริเวณ จึงรีบไปแจ้งให้ผู้ใหญ่บ้านทราบดังกล่าว
นายเอือด เกิดพูนทอง อายุ 60 ปี อดีตผู้ใหญ่บ้าน เล่าว่า ชุมชนแห่งนี้มีเนื้อที่กว่า 700 ไร่ ช่วงหน้าฝนจะมีชาวบ้านออกมาหาของป่าเป็นจำนวนมาก แต่ช่วงหน้าแล้งจะมีน้อยเพราะไม่มีของป่าเกิด กรณีนี้เชื่อว่าน่าจะเป็นการฆาตกรรมเพราะไม่มีใครแจ้งคนหาย โดยเฉพาะมีคนสงสัยว่าเป็นคนหาฟืนหรือเปล่านั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะชาวบ้านรู้กันดีว่าใครเข้าป่านี้บ้าง แต่ไม่มั่นใจว่าร่างคนมาอยู่จุดนี้ได้อย่างไร เพราะเส้นทางมาจุดนี้ค่อนข้างลำบาก ส่วนหนึ่งคาดเดาว่าน่าจะมาแบบตัวเป็นๆ แล้วก่อเหตุที่นี่

ด้านนายนวพล จามิกร อายุ 42 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 ต.ปะทัดบุ กล่าวว่า เบื้องต้นยังไม่มีใครมาแจ้งคนหาย และไม่น่าจะใช้คนแถวนี้ ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเกิดจากอะไรคิดไปได้หลายอย่าง เบื้องต้นน่าจะเป็นผู้หญิง เพราะเห็นยางรัดผมหล่นอยู่ ส่วนกระดูกที่กระจัดกระจายน่าจะเป็นสัตว์ป่าหรือสัตว์ปีกมาแทะร่าง สำหรับพื้นที่นี้เคยมีการเผานั่งยางมาแล้ว ครั้งนั้นเป็นผู้ชาย เหตุการณ์ครั้งนี้จะต้องพึ่งการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจให้คลี่คลาย เพราะชาวบ้านในพื้นที่อยากรู้ เพื่อหาแนวทางการป้องกันตัวเวลาออกป่า
ทั้งนี้จากการตรวจสอบพบว่าพื้นที่ที่พบโครงกระดูกอยู่ในเขตบริเวณป่าเขาพนมรุ้ง ม.2 ต.ตาเป๊ก อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งตำรวจกำลังหาแนวทางการสืบสวนต่อไป.

ล่าสุด พ.ต.อ.วิศิษฏ์ บัวสง่าวงศ์ ผกก.สภ.เฉลิมพระเกียรติ กล่าวว่า หลังเกิดเหตุได้มีญาติมาแสดงตัวแจ้งว่าโครงกระดูกมนุษย์ที่พบน่าจะเป็นพี่ชายอายุ 72 ปี ก่อนหน้านี้มีอาชีพขับรถบัส ต่อมาสติไม่ดี ซึ่งหายตัวไป 1 เดือนก่อนแต่ไม่ได้แจ้งความเพราะทุกครั้งที่ได้หายไปจะมีผู้นำส่งกลับบ้านเป็นประจำ ตำรวจจึงได้ลงบันทึกเอาไว้แล้ว อย่างไรก็ตามจะต้องส่งกระดูกเพื่อไปตรวจ DNA ซ้ำอีกครั้งว่าตรงกับน้องสาวหรือไม่ เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้