อีกหนึ่งนักแสดงคุณภาพซึ่งกำลังเป็นที่พูดถึงเยอะมากในขณะนี้ สำหรับ “ต่อ ธนภพ” ที่ได้ออกมาเล่าถึงจุดเริ่มต้นการเข้าสู่วงการบันเทิงจากนักแสดงวัยรุ่นสู่พระเอกแถวหน้าของเมืองไทย เคยถอดใจไม่รับงานละครนาน 5 ปี เพราะคิดว่าไม่ใช่ที่ของตัวเอง โดยต่อได้เผยรายการคุยแซ่บShow ว่า

“อันนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนที่ชัดๆ เลย ก็จะเป็น Side by Side ทำการบ้านกับบทพี่ยิมใน Side by Side คือ หยุดรับงานไปเลย พยายามอยู่กับคาแรกเตอร์นี้ทำให้มันดีที่สุด ทิ้งคำว่าพระเอกในนามธรรมที่คนอื่นเข้าใจ ผมขว้างทิ้งเลย บังเอิญระหว่างรีเสิร์ชบทนี้ ผมไปเจอจุดที่คอนเนกกับเด็กออทิสติกมากๆ อาจจะเริ่มต้นจากความสงสารแต่สุดท้ายมันกลายเป็นความสวยงามที่เราเห็นว่าทำไมคนอย่างเราไม่เคยสัมผัสเขามาก่อนเราถึงไม่เห็น จนมันเป็นแรงผลักดัน ถ้าซีรีส์เรื่องนี้มันจะช่วยตะโกนออกไปว่าคนเหล่านี้เขาน่าจะอยู่ในสังคมเดียวกันกับเราได้ ถ้าเราเข้าใจเขามากขึ้น แล้วจุดเปลี่ยนเลยคืองานแสดงครั้งแรกที่ผมแสดงจากความเชื่อว่าผมอยากให้ ไม่ใช่เพื่อตัวเอง ผมอยากทำให้คนเข้าใจ วิธีการทำการบ้านก็คือ รีเสิร์ชแล้วก็เอาตัวเองไปเจอเด็กที่เป็นออทิสติกจริงๆ ครับ เจอตั้งแต่พี่ๆ น้องๆ ที่เป็นออทิสติกจริง พยายามเข้าไปพูดคุยกับพ่อแม่เขา ไปอยู่กับคุณครูที่ดูแลเขา ไปอยู่กับพยาบาลหรือหมอที่คอยอัพเดทอาการเขาในแต่ละช่วงวัน ด้วยการปลูกฝังของค่ายผมก่อน นาดาว บางกอก ถึงค่ายจะปิดไปแล้วก็ตาม แต่ผมยังรู้สึกเสมอว่าถ้าไม่มีบ้านหลังนี้ ผมจะไม่ได้เติบโตมาเป็นนักแสดงแบบนี้ หรือแม้กระทั่งครูบิว เขาเป็นเหมือนแม่ที่คลอดผมออกมาทางการแสดงและเป็นพื้นฐานทั้งหมดก่อนที่ผมจะออกไปเรียนรู้กับครูที่เป็นโปรเฟสชั่นนอลอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นครูเงาะ ครูแอ๋ว ผมอาจจะพูดไม่หมดเพราะผมเรียนกับครูเยอะมาก ผมยังขอบคุณทุกคน แต่คนที่เปิดประตูให้ผมยังไงก็คือครูบิวที่เป็นเจ้าของการแสดง Act-Things มันอยู่ที่ผมโตมาด้วย สุดท้ายสิ่งที่ผมเป็นคือไม่มีใครสั่งผม แต่ที่ผมทำหนักขนาดนี้ผมรู้สึกว่าทุกอาชีพ ควรจะมีมุมผลิตของคุณที่ชาวบ้านไม่ต้องรู้หรอก แต่คุณต้องพิถีพิถัน มันเหมือนเราสร้างสินค้าคือผมก็หนึ่งในผู้ประกอบการที่เรารักคุณแล้วกัน”

“ตอนนั้นก่อนที่จะมี Side by Side มันจะมีจุดที่ผมเริ่มโคลงเคลงในแง่ความเชื่อของคนข้างนอกว่าเราไม่ถูกเชื่อในชุดนักเรียนและเราไม่ถูกยอมรับในชุดทำงาน คนที่มันมีแพสชั่นกับนักแสดงแล้วมันไม่ถูกเชื่อมันอึดอัดมาก มันจะรู้สึกว่าเราเข้าใจเขา เราอยู่ในระยะที่เขาไม่สามารถเห็นเราเป็นนักเรียนได้แล้ว แต่จะให้ไปทำงานก็ยังติดสิ่งที่ทำมาแล้วภาพมันชัดอยู่ แล้ว Side by side มันเข้ามาตอบทุกอย่างว่าไม่มีกฎเกณฑ์ side by side ไม่ได้กำลังพูดถึงว่าคุณวัยไหน แต่ side by side แค่เปิดประตูว่าฉันไม่ได้ขายเสน่ห์ ฉันคราฟต์มันมาอย่างสุดพลัง อย่างเหนื่อยมาก แล้วส่งความตั้งใจไปถึงคนดู สุดท้ายมันแค่ตอบเราว่าหรือว่าไอ้เด็กคนนี้อยากจะก้าวเข้าสู่นักแสดงที่ตัดคำว่าวัยรุ่นออกนะ”

ต่อ เผยอีกว่า “ได้มีโอกาสไปเล่นกับ ณเดชน์ ญาญ่า ตื่นเต้นครับ เราอยู่กันคนละตลาดมากๆ เมื่อก่อนค่ายผมจะอยู่วัยรุ่นเยอะ อยู่กับออนไลน์เยอะ ผมไม่คุ้นชินกับทีวีขนาดนั้น คุ้นอย่างเดียวในฐานะผู้ชม ช่อง 3 ชวนมาจอยมาร่วมสนุกกันมั้ย แล้วเมื่อก่อนผมเป็นสวายเด็กชอบลองอยู่แล้ว ชอบปั๊บก็ไป เรื่องเล่ห์ลับสลับร่าง (จากซีรีส์วัยรุ่นพอไปร่วมงานกับณเดชน์ ญาญ่า เป็นอีกตลาดเลย มันเกิดอะไรขึ้น?) งง แล้วรู้สึกว่าผลประกอบการในแง่ความรู้สึกส่วนตัวแย่มาก จำได้ว่าฟีดแบ็กตอนนั้นทุกคนจะมีใหม่บ้าง หลายๆ คนก็บอกว่ามันโอเคอยู่นะสำหรับการเข้ามาในละครครั้งแรก แต่ผมจะเปิดเผยความรู้สึกส่วนตัวจริงๆ ว่าผมไม่โอเคเลย ผมรู้สึกว่าผมทำมันได้ไม่ดี แล้วก็รู้สึกว่าต้องกลับไปฝึกตัวเองใหม่หรืออาจจะต้องยอมรับว่าเราอาจจะไม่เหมาะกับทางนี้ มันแทบจะเกือบ 10 ปี ตอนนั้นวิธีการถ่ายทำละคร ซีรีส์ หนัง แตกต่างกัน มันไม่ได้ถูกรวมเข้าหากัน ทุกวันนี้รู้สึกว่าไม่ว่าจะช่องไหนการถ่ายทำละครมันแทบจะไม่ต่างจากซีรีส์หรือหนังเลยด้วยอุปกรณ์ด้วยอะไรต่างๆ มันไม่ต่างแต่ด้วยยุคนั้น มันต่างวิธีการกำกับ ผมไม่เคยเจอการถูกล็อกที่เขาเรียกกันว่าบล็อกกิ้ง นาดาวสอนเด็กมาการตามนักแสดงเป็นหน้าที่ของกล้อง พอผมเข้าไปสู่โหมดละครมันกลายเป็นว่า เห้ย! บัง บังอะไรวะ ผมไม่เคยรู้จักสิ่งนี้ เมื่อก่อนกล้องที่ทำงานกับ GDH หรือ นาดาว ความโปรเฟสชันนอลของเขาก็คือเขาไม่สนบล็อกกิ้ง สำหรับเขาเอาคนเป็นหลัก กล้องในรายการตอนนี้ไฟแดงที่เรียกว่าสวิตเชอร์ผมทันนะพี่ การแสดงที่ผมเรียนมายากมากกับการเล่นสวิตเชอร์”

“เหตุผลหนึ่งที่ทำให้พักไป 5 ปี คือหลังจากที่เล่นเรื่องนี้ ผมได้เห็นว่าพี่แบร์กับพี่ญ่าเขาทำได้ดีมากเลย ตอนนั้นเราก็ไม่ได้ยอมรับความเด็กของเรามาก ประสบการณ์เราน้อย มันกลายเป็นว่าเราถอดใจ เรารู้สึกว่าทำได้ไม่ดีนักเรากลับค่าย เซ็ง ร้องไห้ บอกค่ายว่าไม่เอาแล้วนะ ลองแล้วนะไม่ดีหรอก อย่าเลย หลังจากทั้งเล่ห์ลับ จริงๆ มันมีอีกเรื่องคือโปรเจกต์ของพี่หน่อง คือคิวปิดที่ผมไปจอยด้วย หลังจาก 2 เรื่องนี้ จริงๆ เข้ามาอีกเรื่อยๆ เลย แต่มันถูกปฎิเสธทั้งหมดโดยการที่เราบอกว่าเราไม่ไหว จริงๆ ยุคนั้นผมพูดเลยว่าผมจะไม่ทำอีกแล้ว ไม่เอาเลย ในฟากของละครนี่ไม่ใช่สนามของเรามันเป็นสิ่งที่เราไม่ถนัด ณ ตอนนั้นผมรู้สึกว่าต้องเปลี่ยนความเป็นตัวเองเยอะเกินไป มันเลยทำให้เรารู้สึกว่าไม่เหมาะ เราให้คนที่เขาทำได้ดีทำ น่าจะดีกว่าไม่ใช่เรา ตลอด 5 ปี หลังจากนั้นผมว่าผมได้ประสบการณ์มากขึ้นจากการทำงานต่อเรื่อยๆ แล้วก็ความไม่หยุดพัฒนาบวกกับโตขึ้นแล้ว ตอนนั้นมันเด็กอยู่พอมันประสบการณ์เยอะขึ้นโตขึ้นผมเปิดใจมากขึ้น เมื่อก่อนจะเป็นมุมแบบว่าพอเราเริ่มทำได้ พอเราเริ่มชอบ แพสชั่นเราจะทำให้รู้สึกว่าไม่อยากห่วย เราไม่ยอมรับความห่วย เรารู้สึกว่าเราโดนเฆี่ยนมาขนาดนี้ โดนพ่อเรา พี่ย้งกดดันมาขนาดนี้ เราต้องเก่งสิวะ แต่พอมันไม่เก่งแล้วมันนอยด์ มันจะรู้สึกว่าฉันไม่ได้ยอมรับความไม่เก่งนี้ แต่ฉันรู้สึกไปเลยว่านี่ไม่ใช่ แต่พอเราโตขึ้น ใจกว้างขึ้น เราไม่ได้คิดแบบนั้นแล้ว เราเริ่มรู้สึกว่าอะไรที่เราทำไม่ได้เราอยากทำให้ได้

ขอบคุณภาพประกอบจาก:คุยแซ่บSHOW