“อดีตนายกฯ แม้ว” นายทักษิณ ชินวัตร ก็ยังมีหลายคดีที่ต้องติดตาม หลักๆ คือ ครอบงำพรรคเพื่อไทยหรือไม่ และเรื่องเกี่ยวกับการนอน รพ.ตร.ชั้น 14 สำหรับเรื่องครอบงำพรรคเป็นหน้าที่ของ กกต.สอบตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง นายกฤช เอื้อวงศ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (น.ส.จิราพร สินธุไพร) ในฐานะฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี กกต. มีหนังสือถึงหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้ชี้แจงกรณีคำร้องนายทักษิณครอบงำพรรคว่า ฝ่ายกฎหมายได้มีการพูดคุยกันไปแล้วบ้าง แต่ยังไม่กำหนดตัวบุคคลจะเข้าไปชี้แจง ส่วน “นายกฯ อิ๊งค์” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ไม่ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ถามว่า จะชี้แจงด้วยตัวเองหรือไม่

นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. ตอบคำถามที่ว่า ได้ส่งหนังสือเชิญนายทักษิณ มาชี้แจงข้อมูลแล้วหรือไม่ นายอิทธิพร กล่าวว่า กกต. ไม่ได้มีอำนาจในการที่จะสั่งว่าให้ต้องมาให้ข้อมูล แต่เห็นว่าการให้ข้อมูลจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ร้อง รวมถึงพรรคการเมือง

ในส่วนคดี “ป่วยทิพย์” ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้พิจารณาคำร้องของนายคงเดชา ชัยรัตน์ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ว่า รมว.ยุติธรรม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ส่งตัวอดีตนายกฯ แม้ว ไปรักษาตัวที่ห้องพิเศษ ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ทั้งที่ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีอาการป่วยรุนแรง อีกทั้งไม่ได้ดูแลให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด กระทำการเอื้อประโยชน์ให้แก่นายทักษิณ ให้ได้รับสิทธิรักษาพยาบาลดีกว่าผู้ต้องขังรายอื่น ทำให้บุคคลไม่เสมอกันในกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 27

เป็นการกระทำที่เป็นการล้มล้างอำนาจอธิปไตยฝ่ายตุลาการ เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 49 วรรค 1

ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องเป็นเพียงการกล่าวอ้างว่าผู้ถูกร้องทั้ง 3 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานอื่นที่ชัดเจนเพียงพอและยังห่างไกลเกินกว่าเหตุที่แสดงให้เห็นได้ว่าผู้ถูกร้องทั้ง 3 กระทำการอันเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยฯ กรณีจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการตามรัฐธรรมนูญ ไม่รับคำร้องไว้พิจารณา

อนึ่ง การที่ ป.ป.ช.ตั้งเรื่องสอบข้าราชการ 12 คน ส่งตัวนายทักษิณจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ เอื้อประโยชน์ให้นายทักษิณไม่ต้องถูกคุมขังในเรือนจำ เป็นการไต่สวนตาม พ.ร.ป.ป.ป.ช. 2561 มาตรา 51 ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

นายแก้วสรร อติโพธิ อดีต สว. นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า ถ้านายทักษิณต้องหมายศาลให้ขัง และหากไม่มีการขังตามหมาย ต้องออกหมายใหม่กลับไปเข้าคุก เป็นอำนาจศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมือง ซึ่งนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ กำลังจะไปร้อง ศาลสามารถเรียกสำนวนจาก ป.ป.ช.ไปดูและวินิจฉัยได้ ศาลสั่งกลับเข้าคุกได้ถ้าหลักฐานชัดเจน โดยไม่ต้องรอคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช. เพราะคดีนี้เป็นคดีเจ้าหน้าที่

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ไม่รับคำร้องเรื่องเอื้อประโยชน์ให้อดีตนายกฯ แม้วว่า ในส่วนของข้าราชการ แพทย์ ยืนยันว่าได้ทำตามกฎหมาย ระเบียบ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ป.ป.ช. ตนยังนึกไม่ออกว่าจะแจ้งข้อหาเรื่องอะไร เพราะทำตามขั้นตอน โดยเฉพาะผู้รับตัว จัดส่ง ที่มีใบแพทย์จากต่างประเทศมาด้วย เป็นการดำเนินการที่สูงกว่ามาตรฐานวิชาชีพทั่วไปด้วยซ้ำ

“ส่วนการรับฟังความเห็นระเบียบว่าด้วยการคุมขังนอกเรือนจำที่แล้วเสร็จไปเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. ก็ดูว่า หลังจากนี้มีคนเห็นด้วยหรือเห็นแย้งอย่างไร เพราะระเบียบได้ออกไปแล้ว ขั้นตอนนี้คือเรื่องของหลักเกณฑ์ที่กำลังเร่งให้เสร็จ ผู้ได้ใช้ระเบียบลอตแรกขึ้นอยู่กับคณะกรรมการพิจารณา ส่วนตัวคิดว่า ต้องเป็นคนที่ไม่หลบหนี ต้องไม่ได้อภิสิทธิ์อย่างอื่น และต้องอยู่ที่คุมขังเหมือนที่อยู่โรงพยาบาลก็ถือเป็นที่คุมขัง” พ.ต.อ.ทวี กล่าว

เรื่องระเบียบคุมขังนอกเรือนจำเป็นที่สนใจมาก ว่าจะทำให้ “อดีตนายกฯ ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับไทยได้โดยไม่ต้องเข้าเรือนจำหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์โดนโทษจำคุก 5 ปี คดีปล่อยปละละเลยให้เกิดความเสียหายในโครงการจำนำข้าว

ความเคลื่อนไหวในส่วนศาลรัฐธรรมนูญยังมีอีก กรณีนายสนธิญา สวัสดี นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ผู้ร้อง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ว่า การที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและนายกรัฐมนตรี ใช้นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตในการหาเสียงเลือกตั้ง สส. เมื่อ พ.ศ. 2566 แต่เมื่อใช้จริง “ไม่ตรงปก” คือ เปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์และกลุ่มเป้าหมายของนโยบายที่ใช้ในการหาเสียงเดิม เป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 257 (1) และมาตรา 258 ก. ด้านการเมือง (2) และ (3) และไม่ชอบด้วย พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรรคหนึ่ง (1) และ (5) ศาลรัฐธรรมนูญตีตก เพราะไม่ปรากฏว่านายสนธิญาถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพ และเดือดร้อนโดยตรง

สำหรับความเคลื่อนไหวของสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาร่าง พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติ “ไอติม” พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคประชาชน (ปชน.) กล่าวก่อนประชุมว่า คิดว่า เสียง สส.ส่วนใหญ่ไม่เอาตาม สว. ที่เสนอเกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้น จะปฏิเสธร่างดังกล่าวเพื่อรอเวลาอีก 180 วัน และยืนตามร่างเดิมของ สส.ที่เสนอให้ใช้เสียงข้างมาก 1 ชั้น การพัก 180 วัน กระทบต่อไทม์ไลน์การทำรัฐธรรมนูญใหม่

“ผมเสนอให้ลดจำนวนครั้งในการทำประชามติจาก 3 เหลือ 2 ครั้งเพื่อให้กรอบเวลาลดลง ในช่วงเวลา 180 วัน ที่รอร่าง พ.ร.บ.ประชามติกลับมาพิจารณาอีกครั้ง สามารถพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ผ่าน 3 วาระของรัฐสภาคู่ขนานกัน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องแสดงบทบาทความเป็นผู้นำ รวมทั้งแสดงความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยิ่ง ครม.ให้ความร่วมมือในการพยายามฝ่าฟันเท่าไร โอกาสสำเร็จก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น ทางที่ดีควรเสนอร่างในลักษณะเดียวกันเข้ามาประกบกับร่างของพรรค ปชน.”

สส.ไอติม ปลุกใจรัฐบาลว่า ที่คิดว่าการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะไม่ทันในรัฐบาลสมัยนี้ แต่จะตั้ง ส.ส.ร. ให้ได้ คิดว่า ไม่อยากให้รัฐบาลยอมแพ้และปรับลดเป้าหมายเร็วเกินไป ยังมีความเป็นไปได้ที่จะทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดย ส.ส.ร. จะเสร็จทันการเลือกตั้งครั้งต่อไป หากสามารถลดจำนวนการทำประชามติสำเร็จ

วันที่ 18 ธ.ค. พรรคร่วมฝ่ายค้านนัดรับประทานข้าวเย็นที่ร้าน “เอิกเกริก” ในวันที่ 18 ธ.ค. ซึ่งดูเหมือน สส.ไอติมไม่ได้คาดหวังอะไรกับพรรคร่วมฝ่ายค้านนัก บอกว่า ฝั่งซีกฝ่ายค้าน ไม่ได้เป็นการตัดสินใจที่จะมาร่วมฝ่ายค้าน ที่อยู่คือบรรดาพรรคการเมืองที่เหลืออยู่ในสภาที่ไม่ได้เป็นรัฐบาล ดังนั้น ไม่ได้มีความคาดหวังว่าแต่ละพรรคจะมีจุดยืนต่อร่างกฎหมาย แนวทางนโยบาย และการทำงานที่เหมือนกัน ที่ผ่านมาการทำงานร่วมกันจำกัดอยู่แค่งานธุรการ โดยเฉพาะเรื่องของการแบ่งสัดส่วนของเวลาในการอภิปราย

“เราจะอาศัยโอกาสนี้ให้พรรคฝ่ายค้านอื่นๆ ทราบถึงความประสงค์ ในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 เราตั้งใจจะเปิดอภิปรายรัฐบาลในสมัยประชุมนี้ ยืนยันว่าจะมีความเข้มข้นเหมือนเดิม ซึ่งในส่วนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ยึดแค่เสียงพรรค ปชน. 140 คนก็เพียงพอแล้ว”

จากภาพรวม สส.พลังประชารัฐ (พปชร.) และไทยสร้างไทย (ทสท.) ก็คงไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกับ ปชน.ในการทำหน้าที่ฝ่ายค้านนัก

“ทีมข่าวการเมือง”