เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. พญ.จุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค และนพ.วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค ร่วมกันแถลงข่าว “ก้าวเข้าสู่ปีใหม่ ปลอดโรคและภัยสุขภาพ” ว่า สถานการณ์โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน/อาหารเป็นพิษในประเทศไทย ในปี 2566 ผู้ป่วย 689,954 ราย เสียชีวิต 2 ราย ส่วนปี 2567 ป่วย 742,697 ราย เสียชีวิต 2 ราย มีรายงานการระบาดเป็นกลุ่มก้อนเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เชื้อก่อโรคส่วนใหญ่ เป็นเชื้อแบคทีเรียซาลโมเนลลา สูงสุด 24 เหตุการณ์ คิดเป็น 28.2% รองลงมา เชื้อแบคทีเรีย เอสเชอริเชีย โคไล 20 เหตุการณ์คิดเป็น 23.5%, แบคทีเรียบาซิลลัส ซีเรียส 17 เหตุการณ์ คิดเป็น 20%, โนไรไวรัส 17 เหตุการณ์ คิดเป็น 20% และแบคทีเรียแคมไพโลแบคเตอร์ 6 เหตุการณ์ คิดเป็น 7.1%  และที่ไม่สามารถระบุเชื้อได้ 29 เหตุการณ์ คิดเป็น  34.1%

จากผลการดำเนินงานเฝ้าระวังเฉพาะเชื้อไวรัสก่อโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน ที่พบมากที่สุด คือ โรตาไวรัส 44.9% รองลงมา คือ โนโรไวรัส จี 2 (Norovirus GII) 33.4%  และซาโปไวรัส (Sapovirus) 7.1% ทั้งนี้ ข้อมูลเฉพาะเชื้อโนโรไวรัส ตั้งแต่ปี  2561-2567 มีผู้ป่วยตรวจพบเชื้อ โนไรไวรัส จี 1 และ จี 2 รวม 729 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอายุ 0-4 ปี 21.6% อายุ 15-24 ปี 20.9% และอายุ 5-9 ปี 20.5%  โดยเชื้อดังกล่าวติดต่อได้ง่าย ทนต่อความร้อน และน้ำยาฆ่าเชื้อต่างๆ ได้ดี โดยทำให้เกิดโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบเฉียบพลันรุนแรงในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ เนื่องจากร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำกว่าวัยอื่น คนส่วนใหญ่ที่ป่วยจากโนโรไวรัสจะหายดีภายใน 1-3 วัน แต่ยังสามารถแพร่เชื้อต่อได้อีก 2–3 วัน ผ่านอาหาร น้ำดื่ม ระยะฟักตัว 12-48 ชั่วโมง โดยมักพบในฤดูหนาว อากาศเย็นทำให้เชื้อเติบโตดี จึงพบผู้ป่วยได้มากขึ้นโดยมีอาการท้องเสีย อาเจียน คลื่นไส้ ปวดท้อง ร่วมกับมีอาการอื่นๆ ได้แก่ มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว รักษาตามอาการไม่มียารักษาเฉพาะ ดื่มน้ำมาก ๆ ช่วยป้องกันการขาดน้ำ

ส่วนการป้องกันโนโรไวรัสทำได้โดยการล้างมือด้วยน้ำและสบู่ให้สะอาด อย่างน้อย 20 วินาที ดีที่สุด เนื่องจากแอลกอฮอล์ไม่สามารถฆ่าเชื้อนี้ได้ ควรรับประทานอาหารปรุงสุก ร้อน ล้างผักผลไม้ให้สะอาดก่อนรับประทาน ทำความสะอาดพื้นผิวด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อที่มีส่วนผสมคลอรีน ขณะที่เด็กที่ป่วยด้วยโนโรไวรัสควรหยุดเรียนเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ