เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. ที่ห้องนพรัตน์ ศาลาว่าการ กทม. เสาชิงช้า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. และพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ร่วมหารือแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่าง กทม.กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีคณะผู้บริหาร กทม. คณะผู้บริหาร สตช. ระดับรองผบ.ตร. ผู้ช่วย ผบ.ตร. ผบช. รอง ผบช.น. และฝ่ายที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม

ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า สำหรับประเด็นในการหารือในครั้งนี้มี 6 ประเด็นด้วยกัน ประกอบด้วย 1.การแก้ไขปัญหาด้านการจราจร ทั้งการควบคุมสัญญาณไฟจราจร วินัยจราจร การจอดรถริมถนนของรถแท็กซี่ สามล้อรับจ้าง และกลุ่มจักรยานยนต์รับจ้าง ไรเดอร์ส่งอาหาร ทำผิดกฎหมาย 2.ปัญหายาเสพติด บุหรี่ไฟฟ้า และการขาย Sex Toy 3.การแก้ไขปัญหาขอทาน การค้าประเวณี และการค้าขายที่ผิดกฎหมาย โดยเป็นการหารือเรื่องการประกาศถนนสุขุมวิทบางช่วงให้เป็นเขตปลอดปัญหายาเสพติด บุหรี่ไฟฟ้า การขาย Sex Toy ขอทาน การค้าประเวณี และการค้าขายที่ผิดกฎหมาย 4.การหลอกลวงนักท่องเที่ยว เช่น บริเวณพระบรมมหาราชวัง 5.ปัญหากลุ่มจีนเทาในพื้นที่เขตห้วยขวางและพื้นที่เขตอื่น ๆ และ 6.การใช้ที่ดินพื้นที่เขตพญาไทและพื้นที่เขตอื่น ๆ

“วันนี้ได้หารือในหลายประเด็น อาทิ เรื่องการกวดขันวินัยจราจรในสถานที่สำคัญ เช่น บริเวณพระบรมมหาราชวัง ถนนสุขุมวิท ราชประสงค์ เยาวราช ส่วนเรื่องการแก้ปัญหาขอทาน ยาเสพติด บุหรี่ไฟฟ้า sex toy การเอาเปรียบนักท่องเที่ยว การค้าประเวณี จะเริ่มโมเดลในถนนสุขุมวิทตลอดเส้น โดยเริ่มต้นตั้งแต่ใต้ทางด่วนตรงเพลินจิตถึงแยกพระโขนง โดยเป็นการทำงานร่วมกันกับตำรวจ และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ซึ่งเป็นนโยบายต่อเนื่องของรัฐบาล โดยจะให้เห็นผลเป็นรูปธรรมในเรื่องต่างจากการตั้งคณะกรรมการย่อยในแต่ละด้านเพื่อแก้ปัญหาในประเด็นต่างๆ ให้เห็นผลภายในปีนี้ ส่วนเรื่องการจัดระเบียบขอทานต่างด้าว ยาเสพติด และเรื่องอื่นๆ ในถนนสุขุมวิทจะดำเนินการในทันที ก่อนจะขยายผลไปพื้นที่อื่น ส่วนเรื่องการจัดระเบียบและแก้ปัญหาคนไร้บ้านซึ่งมีการสำรวจแจงนับล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีจำนวน 400 คน ตั้งเป้าปีหน้าจำนวนต้องลดลง ทั้งนี้วอนผู้มีจิตศรัทธาที่อยากจะบริจาคอาหาร ไม่ควรแจกบนถนนแต่ควรไปแจกยังจุดที่ทาง กทม.จัดไปให้” ผู้ว่าฯ กทม. กล่าว

ขณะที่ ผบ.ตร. กล่าวว่า การแก้ปัญหาขอทาน ต้องอาศัยความร่วมมือทั้ง กทม.และกระทรวง พม. เพื่อจะได้เห็นถึงที่มาของขอทานและหาทางแก้ปัญหา ในแต่ละส่วนที่จะเป็นประเด็นในการจัดระเบียบสังคม อาจจะมีการทดลองนำร่องเป็นโซนนิ่งเนื่องจากกำลังพลทั้งของตำรวจและกทม.มีอย่างจำกัด แต่อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาตำรวจได้มีการบังคับใช้กฎหมายมาตลอด แต่หลังจากนี้จะต้องมีความเข้มข้นมากขึ้นเพื่อจัดระเบียบสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งจะต้องดำเนินการตามมาตรการจากเบาและเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ

สำหรับเรื่องจัดการปัญหาทุนจีนสีเทา พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ตำรวจมีข้อมูลการที่คนจีนเข้ามาประกอบธุรกิจที่ผิดกฎหมายหรือไม่ ซึ่งกระทบต่ออาชีพของคนไทยเป็นเรื่องที่ฝ่ายปราบปรามและฝ่ายสืบสวนของตำรวจคงต้องพูดคุยกับ กทม. แล้วไปดูตามโซนต่างๆ ว่ามีอะไรหรือไม่ โดยจะมีการบูรณาการร่วมกัน และมีการตั้งคณะกรรมทำงานร่วมกัน กำหนดโซนนิ่งทดลองเพราะเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 หน่วยงานมีจำกัด

“แม้กระทั่งเรื่องรถบรรทุกหนักทำให้ถนนพังเสียหาย หรือมีความสูงชนคานสะพานสร้างความเสียหาย ได้ย้ำการสอบสวนดำเนินคดีที่กทม. ส่งข้อมูลและหลักฐานให้ ซึ่งการดำเนินคดีต้องเข้มข้น ให้เป็นตัวอย่างว่าการบรรทุกเกินน้ำหนักเมื่อขึ้นสู่ศาลอาจจะต้องถูกยึดรถและทำให้ผลประกอบการขาดทุน”

ด้านผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า ต้องแยกระหว่างทุนจีนสีเทากับคนที่เข้ามาค้าขาย ซึ่งทุนสีเทาความหมายคือทำผิดกฎหมาย โดย กทม.ดูในเรื่องการขออนุญาตประกอบกิจการถูกต้องหรือไม่ หรือสินค้าที่นำเข้ามามีการขออนุญาตถูกต้องหรือไม่

เมื่อถามว่าการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่มีความเข้มข้นหรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า คงต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เพราะถ้าเราตั้งใจจัดระเบียบสังคม และประชาชนเข้าใจเรื่องนี้ ปลูกฝังความเคยชินให้เคารพกฎระเบียบบ้านเมืองได้.