เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงการโอนย้ายคดีนายชัยเมศร์ สิทธิสนิทพงศ์ หรือ สจ.โต้ง มาที่กองบังคับการปราบปราม ว่า คดีนี้ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรีที่สามารถบริหารจัดการคดีได้เป็นอย่างดี แต่ในกระบวนการโอนคดีต้องเข้าเงื่อนไขด้วย ประกอบกับญาติของผู้เสียชีวิตมีความประสงค์ที่จะโอนคดีมายังกองบังคับการปราบปราม ขณะนี้ตำรวจภูธรภาค 2 ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรี และกองบัญชาการสอบสวนกลาง ร่วมกันพิจารณาโดยจะเสนอมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้ยังไม่ทราบ เพราะต้องพูดคุยเรื่องความชัดเจนของคดี และความเป็นธรรมของผู้ร้องขอ
ขณะนี้กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรีได้สอบสวนไปมากพอสมควร เมื่อกองปราบปรามรับมาทำคดีต่อก็จะเป็นเรื่องของส่วนกลางเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ซึ่งคดีนี้จะมีความซับซ้อนในตัวบุคคลที่เกี่ยวข้อง เป็นคดีที่มีผู้อิทธิพลในพื้นที่ ซึ่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางน่าจะมีความเหมาะสมในการทำคดี จึงจะมีการรับสำนวนมาแล้วเดินหน้าต่อ
โดยขั้นตอนจากนี้จะเข้าสู่การพิสูจน์ทราบ การรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเข้าสู่กระบวนการสอบสวนต่อไป ทั้งการเก็บรายละเอียด DNA วัตถุพยาน เขม่าดินปืน พยานบุคคลที่ต้องสอบสวน เพื่อสนับสนุนองค์ประกอบฐานความผิดที่ได้แจ้งผู้ต้องหาทั้งหมด 7 คนไปแล้ว
ส่วนกรณีที่ตำรวจภูธรภาค 2 ระบุว่า ขอเคลียร์ก่อนที่จะส่งสำนวนคดีมายังกองบังคับการปราบปรามนั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า มั่นใจในตัวผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 และผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรี เชื่อว่าท่านใช้คำพูดว่า “จะดูรายละเอียดในสำนวนให้แน่นเสียก่อน” พิสูจน์ได้จากวันที่ 14-16 ธ.ค. 67 เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสอบสวนกองบังคับการปราบปราม ตำรวจภูธรภาค 2 และกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรีทำงานบูรณาการเข้าตรวจค้น 57 จุดใน 3 วัน ได้อาวุธปืนกว่า 70 กระบอก ซึ่งเป็นจุดที่เรามีข้อมูลในมืออยู่แล้ว สอดรับกับนโยบายที่ตนเองให้ไว้ในการปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และบุคคลตามหมายจับเป็นบทพิสูจน์ได้ว่าทั้ง 3 หน่วยงาน มีความตั้งใจที่จะปราบปรามและป้องปรามผู้ที่คิดว่าตนเองมีอิทธิพลในพื้นที่แล้วจะทำอะไรก็ได้ ซึ่งตำรวจจะไม่ยอมในเรื่องเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดปราจีนบุรีหรือจังหวัดใดก็ตาม จังหวัดปราจีนบุรีจะเป็นต้นแบบ ซึ่งจะต้องป้องกันและปราบปรามอย่างจริงจัง
ส่วนที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะตั้งคณะกรรมการดูคดีของ สจ.โต้งนั้น จะต้องรอนโยบายนายกฯ แม้กระทั่งตำรวจเองเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย ไม่อยากจะใช้คำว่ายินยอม เราต้องไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก คนไหนเป็นผู้มีอิทธิพลตำรวจต้องเข้าไปปราบปรามทั้งหมด เพื่อให้ประชาชนอยู่โดยไม่หวาดระแวง มีความสุขกับการใช้ชีวิตประจำวัน การเลี้ยงมือปืนเพื่อทำความผิด เราต้องเก็บข้อมูลและปราบปรามให้หมด โดยการตั้งคณะกรรมการมาดูเรื่องนี้เป็นการเฉพาะก็สอดคล้องกับแนวคิดของตำรวจที่ต้องการปราบปรามอยู่แล้ว
ขณะที่การเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่จะมีขึ้นอีกหลายจังหวัด จังหวัดปราจีนบุรีจะเป็นต้นแบบ ตนเองจะลงมาดูเรื่องนี้ด้วยตนเองร่วมกับฝ่ายสืบสวนสอบสวน เราจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ในจังหวัดอื่น จะบ้านเล็กหรือบ้านใหญ่ ไม่ให้มีอยู่แล้ว อิทธิพลไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสร้างอิทธิพลด้วยการมีสมุนที่มีประวัติอาชญากรรม เป็นอาชญากรที่เคยต้องโทษ หรือจะมีอาวุธไว้ในการครอบครองทั้งที่มีทะเบียนและไม่มีทะเบียน จะต้องผ่านการตรวจสอบว่าใช้ในการกระทำผิดหรือไม่ ไม่ว่าบ้านเล็กบ้านใหญ่เราไม่ปล่อยไปทั้งหมด
ผู้สื่อข่าวถามว่าตอนนี้มีกี่กลุ่ม กี่ก๊วนที่จับตาเป็นพิเศษ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ไม่บอก แต่มีข้อมูลอยู่แล้ว ถ้าท่านคิดว่าเป็นผู้มีอิทธิพลแล้ว ทำสิ่งใดที่นอกเหนือกฎหมาย เราเยี่ยมท่านแน่นอน สิ่งเหล่านี้รบกวนสังคม ต้องอยู่กันแบบมีความสุขฉันมิตร สู้กันด้วยความชอบธรรมทางด้านการเมืองดีกว่าที่จะใช้วิธีเช่นนี้
อย่างไรก็ตามตั้งแต่ที่ตนเองรับตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมา ได้เปิดยุทธการปราบปรามผู้มีอิทธิพลไปแล้ว 2 ครั้ง ซึ่งผลเป็นที่น่าพอใจมาก แต่พอเกิดเรื่องที่ปราจีนบุรีเป็นบทเรียนที่ทำให้เห็นว่านิยามของคำว่า “ผู้มีอิทธิพล” ไม่เพียงพอกับการที่เราจะเปิดยุทธการ เพราะจะต้องมีมาตรการและวิธีการที่มากกว่านั้นอีก ซึ่งตนเองได้บอกกับทีมสืบสวนสอบสวนจะต้องมีการเรียกผู้บัญชาการมาพูดคุยกันอย่างเข้มข้น เพราะข้อมูลที่มีอยู่ในมือไม่เพียงพอแล้ว
“คนพวกนี้คิดว่าตนเองเป็นใหญ่ในสังคม มีบทบาทและอิทธิพลที่ทำให้เกิดความไม่สงบในสังคม เราต้องกำหนดมาตรการเพิ่มไปมากกว่านี้” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวทิ้งท้าย