จากกรณีที่เดลินิวส์ ได้เคยนำเสนอข่าว คนไทยพลัดถิ่น ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ที่ได้ดำเนินการยื่นคำฟ้องคดีปกครองต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2558 ขอให้เพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น และให้มีคำสั่งรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่นตามนิยามของมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2508 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2555 ซึ่งศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2560 โดยพิพากษาให้เพิกถอนมติของคณะกรรมการพิจารณารับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่นและให้การรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น

เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. ณ ที่ว่าการอำเภอแม่สอด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ นายสัญญาภัชระ สามารถ อุปนายกฝ่ายปฏิบัติการ ได้มอบหมายให้ ร้อยตำรวจตรีสุรศิษฎ์ เหลืองอรัญนภา ประธานคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติและผู้พลัดถิ่น พร้อมด้วย นางสาวทิพย์วิมล ศิรินุพงศ์ และนางสาวชลิตา แก้วตุ้ย คณะทำงาน และเครือข่ายคนไทยพลัดถิ่นแม่สอด เข้าพบนายทะเบียนอำเภอแม่สอด เพื่อติดตามความคืบหน้ากรณีที่ชาวบ้านไทยพลัดถิ่นส่วนหนึ่งในอำเภอแม่สอด และอำเภอแม่ระมาด จำนวน 351 คน ได้ดำเนินการยื่นคำฟ้องคดีปกครองต่อศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2558 ขอให้เพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น และให้มีคำสั่งรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่นตามนิยามของมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2508 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2555

บัดนี้ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2560 โดยพิพากษาให้เพิกถอนมติของคณะกรรมการพิจารณารับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น และให้การรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น โดยให้ถือปฏิบัติต่อสิทธิของผู้ฟ้องคดีว่าเป็นผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิดตามมาตรา 9/6 บุตรของคนไทยพลัดถิ่นซึ่งได้รับสัญชาติไทยดังกล่าวย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิดด้วย ส่งผลให้อธิบดีกรมการปกครอง ต้องดำเนินการเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานะทางทะเบียนราษฎรให้แก่บุตรของผู้ฟ้องคดีดังกล่าวด้วย ซึ่งบัดนี้คดีได้สิ้นสุดกระบวนการพิจารณาในศาลมาเป็นเวลานานแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ.2560 จนถึงปัจจุบัน

ร้อยตำรวจตรีสุรศิษฎ์ เหลืองอรัญนภา ประธานคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติและผู้พลัดถิ่น กล่าวว่า ตนพร้อมคณะได้เดินทางมาติดตามสอบถามความก้าวหน้าในการดำเนินการที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง โดยลงรายการเปลี่ยนแปลงสถานะทางทะเบียนแก่ผู้ฟ้องคดีและรวมถึงทายาทของผู้ฟ้องคดีให้เป็นผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิด ตามนิยามกฎหมายสัญชาติ พ.ศ.2508 แก้ไขฉบับที่ 5 พ.ศ.2555 มาตรา 4 นิยามเรื่องไทยพลัดถิ่นในประเด็นดังนี้ คือ 1.กรณีการดำเนินการเพื่อกำหนดเลขประจำตัวบุคคล 13 หลักของทายาทของกลุ่มผู้ฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขดำที่ 352/2558 คดีหมายเลขแดงที่ 1678/2560 จำนวน 3 ราย ที่ยังตกค้างหลงเหลือจากผลคำพิพากษา 2.กรณีความผิดพลาดทางทะเบียน กรณียื่นคำร้องขอแก้ไขรายการกลุ่มคนพื้นที่สูง ให้เป็นกลุ่มคนสัญชาติพม่าเชื้อสายไทย โดยยื่นเอกสารไว้ที่ว่าการอำเภอแม่สอด เมื่อปี พ.ศ.2566 จำนวน 3 ราย 3.กรณีกลุ่มแปลงสัญชาติของกลุ่มคนไทยพลัดถิ่น ซึ่งได้ยื่นเอกสารคำร้อง แต่ปรากฏว่าได้มีการตรวจสอบ ระบบไม่สามารถตรวจสอบได้ มีปัญหา จำนวน 20 ราย

ร้อยตำรวจตรีสุรศิษฎ์ เปิดเผยว่า จากการร่วมหารือและแก้ปัญหาข้อขัดข้องร่วมกัน ผลปรากฏว่านายทะเบียนได้มอบหมายให้ นางชญาภา สุบรรณพงษ์ ปลัดอำเภอหัวหน้ากลุ่มงานทะเบียนและบัตรอำเภอแม่สอด ทำหน้าที่เป็นผู้ชี้แจงและตอบข้อซักถาม โดยการหารือนี้ได้บรรลุวัตถุประสงค์สำเร็จตามความมุ่งหมาย และจะได้ทำงานร่วมกันต่อไป จากนั้นคณะทำงานได้เดินทางลงพื้นที่เพื่อพบปะกับชาวบ้านคนไทยพลัดถิ่นในพื้นที่เพื่อแลกเปลี่ยนพูดคุยถึงปัญหาต่างๆ

ด้านนางภัคสรณ์ หล้าแปง ประธานเครือข่ายคนไทยพลัดถิ่นแม่สอด ได้กล่าวว่า ที่ผ่านมาคนไทยพลัดถิ่นอำเภอแม่สอดได้ต่อสู้ขอคืนสิทธิความเป็นคนไทยมาอย่างยาวนาน จนกระทั่งเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2560 ศาลปกครองกลาง ได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนมติของคณะกรรมการพิจารณารับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น และให้การรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น โดยให้ถือปฏิบัติต่อสิทธิของผู้ฟ้องคดีว่าเป็นผู้มีสัญชาติไทย ซึ่งในขณะนั้นทำให้กลุ่มพวกตนดีใจมาก โดยที่ผ่านมาทางอำเภอแม่สอดได้มีการทยอยออกสัญชาติไทยให้กับกลุ่มผู้ฟ้องคดีมาโดยตลอด แต่ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานมาเกือบ 7 ปี ยังมีบางรายที่ยังไม่ได้รับการถ่ายบัตรประชาชนตามคำสั่งศาลปกครองกลาง ทำให้ทางคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่น จากสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ลงพื้นที่เพื่อมาขอทราบผลความคืบหน้า ซึ่งตนอยากวอนรัฐบาลให้ช่วยเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องในการคืนสิทธิความเป็นคนไทยแก่ผู้ที่มีสิทธิ เพื่อที่กลุ่มคนเหล่านี้จะได้รับสิทธิความเป็นไทยอย่างน้อยก็จะได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น