“หัวไชเท้า” เป็นผักที่ดีต่อสุขภาพ และถูกนำไปใส่ในอาหารหลากหลายชนิด หลายคนชื่นชอบผักชนิดนี้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะรับประทานได้
แต่ก่อนจะไปดูว่าใครไม่เหมาะกินหัวไชเท้า เรามาดูสรรพคุณของมันกันก่อน…
นายแพทย์บุยดัคซาง แห่งสมาคมการแพทย์แผนตะวันออกของฮานอย ประเทศเวียดนาม ระบุว่า “หัวไชเท้า” เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการเหมือนกับ “โสมขาว” โดย หัวไชเท้า 100 กรัม มีพลังงาน 20 แคลอรี น้ำตาล 0.5 กรัม ไขมัน 0.2 กรัม ไทอามีน 0.045 มก. ไรโบฟลาวิน 0.072 มก. ไนอาซิน 0.11 มก. กรดแพนโทธีนิก 0.274 มก. วิตามินบี 6 0.18 มก. เหล็ก 0.8 มก. และแมงกานีส 0.37 มก. ทำให้หัวไชเท้ามีคุณสมบัติต้านมะเร็ง สามารถกำจัดสารพิษที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้ ป้องกันโรคหัวใจ ดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน สายตา กระดูก และผิวหนัง
การรับประทานหัวไชเท้า ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ป้องกันโรคกระดูกพรุน โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ และต้อกระจก
ในหัวไชเท้ามีกลูโคซิโนเลตช่วยป้องกันมะเร็ง เป็นสารธรรมชาติที่แตกตัวออกเป็นสารประกอบ 2 ชนิดระหว่างการย่อยอาหาร ได้แก่ อินโดล และไอโซไทโอไซยาเนต สารทั้งสองชนิดนี้ทำหน้าที่โจมตีเซลล์เนื้องอก และลดการเติบโตของมะเร็ง
ใครที่ไม่ควรรับประทานหัวไชเท้า?
แม้ว่าหัวไชเท้าจะดีต่อสุขภาพ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถรับประทานได้ คุณหมอบุยดัคซาง กล่าวว่า ควรกินหัวไชเท้าในปริมาณที่พอเหมาะ การรับประทานมากเกินไปอาจทำให้ระบบย่อยอาหารผิดปกติ และปวดท้องได้
โดยเฉพาะ “สตรีมีครรภ์” การรับประทานหัวไชเท้ามากเกินไป จะทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น ทำให้รู้สึกไม่สบายตัว เนื่องจากหัวไชเท้ามีฤทธิ์ขับปัสสาวะ หญิงตั้งครรภ์ควรรับประทานหัวไชเท้าปรุงสุกเพียง 1-2 มื้อต่อสัปดาห์เท่านั้น ห้ามรับประทานหัวไชเท้าดิบเป็นสลัด หรือหัวไชเท้าดองเด็ดขาด เพราะไม่ปลอดภัย
นอกจากนี้ คุณหมอบุยดัคซาง ยังพูดถึงสิ่งที่ไม่ควรปรุงร่วมกับหัวไชเท้า เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายต่อสุขภาพ
โสม: หัวไชเท้ามีฤทธิ์เย็น โสมมีฤทธิ์ร้อน ถ้ารวม 2 สิ่งนี้เข้าด้วยกัน มันจะหักล้างกันเอง ทำให้เราไม่ได้รับสารอาหารและประโยชน์ใด ๆ นอกจาก หัวไชเท้า หลังดื่มโสมแล้ว ควรงดอาหารทะเล และงดดื่มชาด้วย
แครอท: หัวไชเท้าอุดมไปด้วยวิตามินซี แต่แครอทมีเอนไซม์หลายชนิดที่ย่อยสลายวิตามินซี หากรับประทานร่วมกัน เราจะไม่ได้รับวิตามินซีจากหัวไชเท้า
ที่มาและภาพ : soha