นายสุภกิจ เจริญกุล ผู้อำนวยการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือไอทีดี เปิดเผยว่า ไอทีดีได้ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และพันธมิตร ศึกษาลู่ทางนำผู้ประกอบการไทยเพื่อใช้ประโยชน์รูปแบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน หรือ ซีบีอีซีส่งออกสินค้าทางออนไลน์เจาะตลาดประเทศจีน ได้เพิ่มขึ้น 

ทั้งนี้ พบว่า แม้จีนจะส่งออกสินค้าทางออนไลน์ไปขายต่างประเทศจำนวนมาก แต่จีนเปิดรับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศผ่านรูปแบบอีคอมเมิร์ซในปี 66 สูงถึง 548,300 ล้านหยวน หรือประมาณ 2.7 ล้านล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตต่อในปี 67 โดยสินค้าที่นำเข้า มีทั้งสินค้าแบรนด์เนม ของใช้ส่วนตัว ของทานเล่น เครื่องสำอาง อาหารเสริมแฟชั่น และหัตถกรรม 

ที่สำคัญจีนยังอนุญาตให้สินค้าที่อยู่ในบัญชีอนุญาตกว่า 1,500 พิกัดศุลกากร สามารถนำเข้าผ่านเขตปลอดอากรนำร่องซีบีอีซี ที่มีอยู่ทุกมณฑลของประเทศจีน พร้อมยกเว้นภาษีศุลกากรสำหรับนำเข้า และเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราพิเศษ คือ 70% ของอัตราภาษีปกติ รวมถึงสินค้าที่นำเข้าไม่ต้องขอเอกสารประกอบใบอนุญาตนำเข้าครั้งแรกซึ่งช่วยลดขั้นตอนด้านเอกสารลงเป็นอย่างมาก 

“การใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน เป็นหนึ่งในรูปแบบในการขยายธุรกิจไปยังประเทศจีน ที่หลายประเทศเลือกใช้ เอสเอ็มอีไทย ก็สามารถใช้ช่องทางดังกล่าว เป็นกลไกไปขยายตลาดจำหน่ายสินค้าของตนไปสู่ตลาดประเทศจีน แทนที่รูปแบบการค้าแบบทั่วไป และจะทำให้สินค้าไทยเข้าสู่ตลาดจีนได้เพิ่มมากขึ้น”

นายสุภกิจ กล่าวว่า สำหรับกลุ่มสินค้าที่มีโอกาส เช่น กลุ่มผลไม้สด สินค้าเกษตรแปรรูป อาหารแปรรูป กลุ่มอาหารเพื่อสุขภาพ กลุ่มอาหารอนาคต สินค้ามูลค่าสูงอย่างอัญมณีและเครื่องประดับ รวมถึงสินค้าต่อยอดเชิงวัฒนธรรม และซอฟต์พาวเวอร์ เป็นต้น ซึ่งกลุ่มเหล่านี้ เป็นสินค้าที่ไทยมีศักยภาพ และเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคในตลาดจีนอยู่แล้ว 

ขณะที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สายงานอาเซียนและโลจิสติกส์ ได้เสนอการใช้ประโยชน์จากเส้นทางขนส่งทางถนนและระบบรางให้ไทยเป็นศูนย์กลางซีบีอีซี จีน-อาเซียน โดยเสนอให้จัดตั้งศูนย์ซีบีอีซี ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยพิจารณาพื้นที่ชายแดนที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย จังหวัดหนองคายหรืออุดรธานี จังหวัดนครพนม และจังหวัดมุกดาหาร ที่มีเชื่อมต่อกับจีนผ่านเส้นทางอาร์ 3 เอ รถไฟลาว-จีน อาร์12 และ อาร์9 เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่มีอยู่หนึ่งแห่งในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก