พล.ท.ปราโบโว ซูเบียนโต ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย เสนอพันธกรณีที่น่าประหลาดใจ ในการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ “จี20” เมื่อเดือนที่แล้ว ว่าจะปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินและเชื้อเพลิงฟอสซิลหลายร้อยแห่ง ภายในปี 2583 นับเป็นคำมั่นที่กล้าหาญจากอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและผู้บริโภคถ่านหินอันดับต้น ๆ ของโลก
“อย่างไรก็ตาม การบรรลุเป้าหมายนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะเราจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่” นายฟาห์มี ราดี อาจารย์และนักเศรษฐศาสตร์พลังงาน จากมหาวิทยาลัยกัดจาห์มาดา กล่าว

ข้อมูลจากกระทรวงพลังงานและทรัพยากรแร่ธาตุของอินโดนีเซีย ระบุว่า ปัจจุบันประเทศมีโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ดำเนินการอยู่ 253 แห่ง รวมถึงโรงไฟฟ้าสุราลายา บนเกาะชวา ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกทั้งยังมีโรงไฟฟ้าถ่านหินที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกหลายสิบแห่ง ซึ่งจ่ายพลังงานให้กับอุตสาหกรรม มากกว่าโครงข่ายไฟฟ้า
ทั้งนี้ บรรดานักวิจัยประมาณการว่า การปิดเครือข่ายดังกล่าว เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ของ พล.ท.ปราโบโว เร็วกว่าที่วางแผนไว้ 10 ปี อาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึงหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

แม้อินโดนีเซียบรรลุข้อตกลงพันธมิตรการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรม (เจอีทีพี) มูลค่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 680,000 ล้านบาท) กับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เมื่อปี 2565 ซึ่งคาดว่าจะช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด แต่จนถึงขณะนี้ อินโดนีเซีย ยังแทบไม่เห็นจำนวนเงินข้างต้นเลย
อนึ่ง เป้าหมายของรัฐบาลจาการ์ตาก่อนการประกาศของ พล.ท.ปราโบโว คือ การปิดโรงไฟฟ้าถ่านหิน 13 แห่ง ภายในปี 2573 และรัฐบาลต้องการสร้างกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนมากกว่า 75 กิกะวัตต์ ภายในปี 2583 อย่างไรก็ตาม ทางการอินโดนีเซียแทบไม่เปิดเผยรายละเอียดมากนักว่าจะบรรลุเป้าหมายใหม่ได้อย่างไร

อดีตประธานาธิบดีโจโค วิโดโด ประกาศคำสั่งระงับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่เมื่อปี 2565 แต่อินโดนีเซีย
ยังดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าตามที่ตกลงไว้ก่อนหน้านั้น
นอกจากนี้ถ่านหินยังคงมีสัดส่วน 2 ใน 3 ของการผลิตไฟฟ้าในประเทศ ตามข้อมูลขององค์การพลังงานระหว่างประเทศ (ไออีเอ) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจริงที่ว่า ถ่านหินเป็นทรัพยากรที่มีราคาถูกและเชื่อถือได้ สำหรับประเทศเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วอย่างอินโดนีเซีย ที่ต้องการพลังงานมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ด้านผู้สันทัดกรณีกล่าวว่า อินโดนีเซียบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ หากรัฐบาลจาการ์ตาดำเนินการอย่างจริงจัง โดยยุติการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินให้ได้ 3 กิกะวัตต์ต่อปี ภายใน 15 ปีข้างหน้า ควบคู่กับการเร่งผลิตพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์.