เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ทำเอาโลกออนไลน์ต่างพูดถึงกันเป็นอย่างมากอยู่ในขณะนี้ ภายหลังจากล่าสุดเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม เป็นอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เผยข้อมูลลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว Thon Thamrongnawasawat แสดงความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ภัยพิบัติในประเทศไทย

โดย “อ.ธรณ์” ได้ระบุว่า “จวนสิ้นปีแล้ว ภัยพิบัติจากสภาพอากาศวิปริตสุดขีดยังไม่ลดน้อยลงเลย โดยเฉพาะ rain bomb ที่ถล่มตั้งแต่เหนือจรดใต้” ตลอดทั้งปีเราเจอที่แม่สาย เมืองเชียงราย แม่แตง เมืองเชียงใหม่ บ้านไร่ ยะลา/นรา ก่อนมาที่ชุมพร/สุราษฎร์ ยังไม่นับแบบกะทันหันในพื้นที่เล็กๆ เช่น ภูเก็ต ชลบุรี ระยอง ฝนตกหนักมากทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน แตกต่างจากน้ำท่วมสมัยก่อนที่ค่อยๆ ไหลบ่าลงมา

เมื่อมองไปข้างหน้า มนุษย์ยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นทุกปี โลกก็ยิ่งร้อนขึ้น ผลกระทบก็ยิ่งหนักหน่วงรุนแรง นักวิทยาศาสตร์แบ่งเขตภัยพิบัติจากสภาพภูมิอากาศ ไทยอยู่ในเขตที่จะเจอภัยหลักจาก flooding แบบที่เราเริ่มเจอเพิ่มขึ้นในตอนนี้ และตอนหน้า ปีหน้าปีต่อไป ฝนแบบนี้น้ำท่วมแบบนี้จะมีถี่ขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะพื้นที่มีปัญหา เช่น ชุมพรเคยเกิดน้ำท่วมใหญ่เป็นระยะ ในอนาคตอาจเจอบ่อยขึ้น ทางสายหลักลงใต้ปิด ทั้งถนนทั้งรถไฟ การขนส่งสินค้ามีปัญหา ยังรวมถึงน้ำมันหรือเชื้อเพลิงที่ต้องใช้รถขนาดใหญ่ ถ้าเป็นช่วงสั้นๆ คงไม่เป็นไร แต่ถ้าท่วมติดต่อกันนานหรือย้ายที่ท่วมไปเรื่อยๆ อาจเป็นปัญหา การขนส่งสินค้าทางทะเลในอ่าวไทยจึงจำเป็นต้องดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นทางเลือกในยามฉุกเฉิน

ผลกระทบยังต่อเนื่องถึงอีกหลายเรื่อง การเดินทาง การท่องเที่ยวลงใต้ พวกนี้โดนหมด หากลองคิดถึงภาพรวม ชุมพรถือเป็นพื้นที่บอบบางที่ควรเอาใจใส่และหาทางรับมือกับโลกร้อนมากสุด เพราะนี่คือประตูสู่ภาคใต้ “เล่ามาให้เพื่อนธรณ์เห็นภาพคร่าวๆ ว่าโลกยุคต่อจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร เราต้องมองการณ์ให้ไกลขึ้นแค่ไหน มองให้ไกลต้องมีความรู้พื้นฐาน ต้องตามฟังตามอ่าน อัปเดตข้อมูลต่างๆ ให้ทัน ประเมินความเสี่ยงของเราและอาชีพกิจการ ต้องรอบคอบ ต้องเผื่อทางเลือก ต้องอย่าหวังพึ่งใครให้มากไปกว่าตัวเอง และต้องปกป้องครอบครัวของเราให้ได้” ไม่มีภาพประกอบ เพราะทุกคนคงพอเห็นภาพบ้างแล้ว อยากแค่บอกว่ามันไม่ใช่เหตุการณ์เกิดแล้วตกใจเศร้าใจ จากนั้นก็หายไป มันจะเกิดแล้วเกิดอีก เกิดบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ในโลกยุคที่กำลังร้อนเป็นไฟ และยังไม่มีท่าทีว่าเราจะหยุดได้ครับ..

ขอบคุณข้อมูลจาก @Thon Thamrongnawasawat