เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. จากกรณีศาล จ.ปัตตานีนัดสืบพยานโจทก์และจำเลย กรณีที่รัฐฟ้องข้อหาร่วมกันต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ หรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติหน้าที่กับนางแมะดะ สะนิ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาของผู้ตายที่ถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญฆาตกรรมในคดีความมั่นคง ซึ่งจะไปรับศพลูกชายที่เพื่อนำไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอิสลาม และนายอัสมาดี บือเฮง จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนักข่าวพลเมืองและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ด้านสิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมสังเกตการณ์สถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อเก็บข้อมูลของบุคคลที่ถูกวิสามัญฆาตกรรมในพื้นที่ชายแดนใต้จัดทำเป็นบทความในหนังสือหรือรายงานข่าวต่อไป โดยคดีนี้จำเลยทั้ง 2 ถูกฟ้องจากเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2566 ว่านางแมะดะ และนายอัสมาดี ร่วมกันต่อสู้หรือขัดขวางการทำงานของเจ้าพนักงาน กรณีการนำศพของผู้ตายออกจากโรงพยาบาลปัตตานี โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่า ยังไม่ได้ดำเนินการพิมพ์ลายนิ้วมือ และลายมือ เป็นขั้นตอนการชันสูตรพลิกศพตามกฎหมาย เพื่อพิสูจน์ให้รู้ว่าผู้ตายคือใคร ซึ่งเป็นการปฏิบัติการตามหน้าที่
นายอัสมาดี กล่าวว่า ตนได้ให้การกับศาลโดยยืนยันว่าที่เกิดเหตุนั้นตนได้ลงพื้นที่เพื่อเข้าไปสังเกตการณ์และเก็บข้อมูลบุคคลที่ถูกวิสามัญฆาตกรรมในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ เพื่อนำไปจัดทำเป็นบทความข่าว หรือหนังสือที่เกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งตนทำหน้าที่ดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถูกกล่าวหาและฟ้องเป็นจำเลยในคดีนี้และจะต่อสู้คดีจนถึงที่สุดเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ ว่าตนไม่ได้กระทำผิดต่อกฎหมายแต่อย่างใดตามที่ถูกฟ้อง นอกจากนี้ยังขอย้ำว่าการสื่อสารในพื้นที่ความขัดแย้งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ซึ่งตนได้ให้การปฏิเสธตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวนในทุกข้อกล่าวหาและวันที่เบิกความต่อศาลก็ยังยืนยันข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับที่เคยให้การในฐานะพยานและผู้ต้องหาในชั้นพนักงานสอบสวน โดยหวังว่ากระบวนการยุติธรรมจะคืนว่ายุติธรรมให้กับตน ยืนยันว่าการสื่อสารของนักข่าวพลเมืองและประชาชนทั่วไปเป็นสิทธิพื้นฐานที่ควรได้รับการคุ้มครองในระบอบประชาธิปไตย
ขณะที่นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สว. ในฐานะอดีตบรรณาธิการบริหารสำนักข่าวประชาไท ที่ร่วมเบิกความในฐานะพยานของนายอัสมาดี กล่าวว่า นายอัสมาดี ทำหน้าที่นักข่าวพลเมืองให้กับสำนักข่าวประชาไทมาอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับประเด็นปัญหาสิทธิมนุษยชน สิทธิชุมชน สิทธิทางการเมือง ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และยืนยันความสำคัญของนักข่าวพลเมืองในสังคมประชาธิปไตย ทั้งนี้นายอัสมาดีได้อ้างตนเป็นพยานมาตั้งแต่ชั้นพนักงานอัยการเพื่อให้สอบตนในฐานะพยาน แต่ก็ไม่มีการเรียกตนไปให้การในฐานะพยานแต่อย่างใด ก็เลยต้องเดินทางมาเบิกความต่อศาลในวันนี้ ซึ่งนอกจากการเบิกความในชั้นศาลที่เกี่ยวข้องกับคดีแล้วตนยังอยากเน้นย้ำถึงความสำคัญในความหมายของ คำว่า นักข่าวพลเมือง ซึ่งหลายคนอาจไม่เข้าใจความหมายของคำว่า นักข่าวพลเมือง จนกว่าจะได้เผชิญปัญหาโดยตรง เช่น โครงการพัฒนาที่รุกล้ำพื้นที่ชุมชนหรือการเวนคืนที่ดิน เมื่อปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ถูกนำเสนอโดยสื่อกระแสหลัก ประชาชนในพื้นที่ก็จะลุกขึ้นมาสื่อสารเองผ่านโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ แต่ปัญหาคือคนเหล่านี้ไม่ได้รับการคุ้มครอง หากเกิดผลกระทบจากการสื่อสารของพวกเขา
นายเทวฤทธิ์ กล่าวว่า แม้กระทั่งนายอัสมาดี ผู้ถูกดำเนินคดีในประเด็นการสื่อสาร ก็ไม่ได้เป็นเพียงประชาชนธรรมดา แต่มีทักษะด้านการเขียนและการสื่อสาร อย่างไรก็ตาม สิทธิในการแสดงออกและการสื่อสารไม่ควรถูกจำกัดเฉพาะกลุ่มคนที่มีความเชี่ยวชาญเท่านั้น ทุกคนควรมีสิทธิ์ในการสื่อสารโดยไม่ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ เราต้องพึ่งพานักข่าวพลเมืองเหล่านี้ในการดึงประเด็นจากพื้นที่จริงเข้าสู่การรับรู้ของสาธารณะ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศการสื่อสาร แต่ปัจจุบันวัฒนธรรมไทยยังยึดติดกับความคิดที่ว่านักข่าวต้องมีบัตรประจำตัว ต้องสังกัดองค์กร ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ทั้งนี้การฟ้องคดีกับนักข่าว หรือ นักข่าวพลเมือง จะส่งผลให้พื้นที่ของนักข่าวพลเมืองในการรายงานประเด็นร้อนหรือพื้นที่ความขัดแย้งหดเล็กลง เป็นการปิดกั้นการสื่อสารของประชาชน ทำให้หูตาของสังคมลดน้อยลง
“การดำรงอยู่ของนักข่าวพลเมืองเป็นกลไกสำคัญในระบอบประชาธิปไตย และหากพื้นที่นี้ถูกทำให้แคบลง จะกระทบต่อศักยภาพของสังคมในการมีข้อมูลเพียงพอสำหรับการตัดสินใจอย่างสมดุล ข้อมูลข่าวสารเป็นน้ำทิพย์ที่ช่วยหล่อเลี้ยงประชาธิปไตย หากสังคมไทยละเลยสิ่งนี้ เราจะสูญเสียความโปร่งใสและความเป็นธรรมในการใช้อำนาจ” นายเทวฤทธิ์กล่าว
ด้านน.ส.ปรานม สมวงศ์ จากองค์กร Protection International กล่าวว่า นักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักข่าวพลเมืองอย่างนายอัสมาดีมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบอำนาจรัฐและนำเสนอความจริงในพื้นที่ความขัดแย้ง สิทธิของพวกเขาได้รับการรับรองตามปฏิญญาว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชนปี 2541 ซึ่งกำหนดให้รัฐมีหน้าที่คุ้มครองผู้ที่ทำงานเพื่อสิทธิและศักดิ์ศรีของทุกคน เหตุการณ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ เช่น กรณีตากใบ ได้สร้างคำถามต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม หลังเกิดการใช้ความรุนแรงโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้รอดชีวิตยังไม่ได้รับความเป็นธรรม เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคดีนี้จะเป็นโอกาสเล็กๆในการสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมผ่านการพิจารณาอย่างรอบด้าน ทั้งนี้ เราขอย้ำว่าการพิจารณาคดีควรยึดหลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์ (ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในกระบวนการยุติธรรม และเป็นการตอกย้ำถึงสิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมในระบอบประชาธิปไตย เพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่ายอย่างแท้จริง โดยคดีนี้ศาลจ.ปัตตานีนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 24 ก.พ.68.