เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) น.ส.ณภาภัช อัญชสาณิชมน หรือ สจ.จอย ภรรยาของนายชัยเมศร์ สิทธิสนิทพงศ์ หรือ สจ.โต้ง พร้อมด้วยทนายนิติศักดิ์ มีขวด เข้ายื่นหนังสือขอโอนสำนวนคดีการตายของ สจ.โต้ง มาที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) โดยมี พ.ต.อ.สุเทพ โตอิ้ม รอง ผบก.ป. ลงมารับหนังสือดังกล่าวด้วยตัวเอง
ทนายนิติศักดิ์ เปิดเผยว่า วันนี้ตนได้รับการประสานจาก สจ.จอย ที่เป็นภรรยาของ สจ.โต้ง เพื่อมายื่นหนังสือถึง พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. เพื่อร้องขอให้ทำการโอนย้ายสำนวนคดีจาก สภ.เมืองปราจีนบุรี มาที่ บก.ป. เนื่องจากเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยและเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากคดีดังกล่าวผู้เสียชีวิตถูกยิงถึง 22 นัด และโดนจุดสำคัญทั้งหมด อีกทั้งยังมีผู้มีอิทธิพลเกี่ยวข้องจึงเกรงว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะถูกแทรกแซง แต่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปราจีนบุรี ทำงานไม่ดี เบื้องต้น สจ.จอย พอใจในการทำงานของตำรวจที่สามารถจับผู้ต้องหาได้ในทันที และจะทำการฝากขังศาลจังหวัดปราจีนบุรี แต่ว่าอยากให้โอนคดีเพราะกลัวไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่หากอีกฝั่งบริสุทธิ์จริง คู่กรณีก็ต้องได้รับความเป็นธรรมด้วย เนื่องจากมีหลักฐานเป็นภาพถ่าย คลิปเสียง ก็ให้นำพิสูจน์ที่ บก.ป. นอกจากนี้ยังอยากร้องขอให้คุ้มครองพยาน ทั้ง สจ.จอย และลูกชาย รวมถึงพยานที่จะนำมาให้ตำรวจ บก.ป. เป็นผู้สอบปากคำเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวถาม สจ.จอย ว่า ก่อนหน้านี้ สจ.โต้ง และนายสุนทร ได้มีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนหรือไม่ สจ.จอย กล่าวว่า ปกติ สจ.โต้ง ก็มีปัญหากับนายสุนทร ซึ่งเป็นพ่อบุญธรรมเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาก็สามารถตกลงกันได้ ทำให้ในวันเกิดเหตุ สจ.โต้ง จึงเข้าไปเคลียร์ใจกับนายสุนทร ซึ่งครั้งแรกที่เข้าไปเคลียร์ใจนั้น มีลูกน้องของทาง สจ.โต้ง เข้าไปด้วย และเปิดเผยว่า มีการพูดคุยกันถึงขั้นที่นายสุนทรร้องไห้ และ สจ.โต้ง ได้ก้มกราบเท้า ซึ่งการคุยครั้งแรกเคลียร์ใจกันเรียบร้อยแล้ว และ สจ.โต้ง ก็กลับเข้าไปอีกรอบ เพื่อไปส่งนายสุนทรเข้านอน และการเข้าไปครั้งที่ 2 สจ.โต้ง เข้าไปเพียงคนเดียว เพราะฝั่งคู่กรณีมีการปิดประตูรั้วไม่ให้ผู้อื่นเข้า โดยขณะเข้าไป สจ.โต้ง ไม่มีอาวุธปืน และยังเอาโทรศัพท์ฝากลูกน้องไว้ ดังนั้นเสียงปืนที่ดังขึ้นจะมาจาก สจ.โต้ง ได้อย่างไร

สจ.จอย ยอมรับว่า กังวลและเป็นห่วงลูก และต้องการให้ บก.ป. เป็นผู้รับผิดชอบคดี เพราะรู้ว่าในจังหวัดปราจีนบุรี ตนไม่สามารถทำอะไรได้
เมื่อถามว่า มีการบงการหรือไม่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สจ.จอย กล่าวว่า ไม่ทราบว่ามีการบงการหรือไม่ แต่การที่ สจ.โต้ง เข้าไปก็ไปคนเดียว ไปด้วยความไว้ใจ แต่กลับโดนยิงเข้าหน้า เข้าหัว ใครเป็นคนทำ มันโหดร้ายเกินไป ยิงแบบที่ สจ.โต้ง ไม่มีทางต่อสู้ได้ ซึ่งปกติ สจ.โต้ง ก็ไม่เคยพกอาวุธหรือลูกน้องเข้าไป เพราะคิดว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัยและไว้ใจ
เมื่อถามว่า สจ.จอย เชื่อหรือไม่ว่า 2 ผู้ต้องหาที่รับสารภาพจะเป็นคนยิง ไม่ใช่เป็นการมารับสารภาพแทน สจ.จอย กล่าวว่า เหตุมันเกิดขึ้นในบ้านของนายสุนทร จึงไม่มีใครรู้ว่าเป็นคำสั่งหรือไม่ โดยตนไปถึงหลังจากที่ สจ.โต้ง เสียชีวิตแล้ว และไปถึงก็ไม่สามารถเข้าบ้านได้ ต้องโทรฯ ให้แม่บ้านเปิดประตูให้
และเมื่อถามว่าในคลิปเสียงที่ สจ.โต้ง พูดว่า ขอให้ตัวเองได้ไปเติบโตด้วยตัวเอง และมีกระแสข่าวว่าจะไปอยู่กับพรรคการเมืองใหญ่ สจ.จอย ทราบหรือไม่ว่า สจ.โต้ง ไปขออยู่เอง หรือพรรคการเมืองใหญ่มาทาบทาม สจ.จอย ระบุว่า ไม่ขอตอบ เนื่องจาก สจ.โต้ง ไม่ค่อยได้พูดคุยหรือปรึกษาเรื่องนี้ ตนคอยสนับสนุนเรื่องหลังบ้านมากกว่า
เมื่อถามว่า ชนวนในการก่อเหตุมาจากการที่ สจ.โต้ง ไปตบหัวลูกน้องโกรธจึงมีการลั่นไกปืนหรือไม่ สจ.จอย กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่เพียงแค่ตบหัวจะนำไปสู่การยิงกันเลยหรือ เชื่อว่าสังคมคิดกันได้ ไม่ต้องให้คู่กรณีมาพูดหลอกพวกตน นอกจากนี้ตนยอมรับว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีผลต่อการที่จะตัดสินใจลงเล่นการเมืองท้องถิ่น แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องขอปรึกษาพูดคุยกับผู้ใหญ่ก่อน ซึ่งขณะนี้การเป็นอยู่ของตน ก็มีญาติและเพื่อนๆ มาคอยดูแลและอยู่เป็นเพื่อน แต่ตนก็อยู่กับลูกชายเป็นหลัก
ถามต่อว่า หาก สจ.จอย เจอนายสุนทร อยากจะพูดอะไรหรือไม่ สจ.จอย กล่าวว่า ไม่อยากพูด ไม่อยากเจอ ไม่อยากเห็นหน้า
ด้าน สจ.จอย กล่าวทิ้งท้ายว่า ขณะนี้รู้สึกสบายใจขึ้น แต่ก็ยังกังวล เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกในอนาคต โดยหลังจากนี้จะมีการเปลี่ยนกำหนดการฌาปนกิจศพของ สจ.โต้ง จากเดิมวันที่ 17 ธ.ค. ไปอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าจะได้รับความเป็นธรรม.