มีระบบ สส.ปาร์ตี้ลิสต์ที่เอาคนไม่มีฐานเสียงมาเป็น สส.ได้ เกิดองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ มาเป็นองค์กรตรวจสอบคานอำนาจแทนองค์กรรัฐในเรื่องสำคัญ เช่น การป้องกันและปราบปรามการทุจริต การจัดการเลือกตั้ง ..แต่ต่อมา “ว่ากันว่า” เกิดกระบวนการ “ซื้อองค์กรอิสระ” ซึ่งเขาเอาแค่ “พอได้มติเสียงข้างมาก” ไม่เอาทุกคน

ต่อมา ปฏิวัติรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2549 และก็ยกร่างใหม่เป็นฉบับ พ.ศ.2550 แล้วปี 2557 ก็เกิดการยึดอำนาจอีกรอบ เปลี่ยนรัฐธรรมนูญเป็นฉบับปัจจุบัน ที่ถูกจดจำได้ในฐานะเป็นรัฐธรรมนูญที่มีกับดักทางจริยธรรมโหด เนื่องจากฝ่ายการเมืองใช้ประมวลจริยธรรมเดียวกับฝ่ายองค์ศาล องค์กรอิสระ  ทั้งที่ตอนยกร่างประมวลฯ ฝ่ายการเมืองไม่ได้ร่วม

และก็มีความพยายามจะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาเรื่อย ๆ ตอนแรก ในการเลือกตั้งปี 62 พรรคการเมืองกลุ่มหนึ่งทำสัตยาบรรณกันว่า จะต้องแก้ไข เพราะตอนนั้นมีบทเฉพาะกาล 5 ปีที่ทำให้ สว.ลากตั้งของ คสช.เลือกนายกฯ ได้ 2 สมัย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้แก้ และตอนนี้ก็กลับมาเถียงกันใหม่ว่าจะแก้หรือไม่อย่างไร  แม้ว่าบทเฉพาะกาลจบไปแล้ว

การแก้ไขรัฐธรรมนูญทำได้หรือไม่ ? ตอบว่าได้ ถ้าสมผลประโยชน์กันก็อย่างเรื่องระบบเลือกตั้ง ทั้งรัฐธรรมนูญปี 50 และ 60 แก้กันมาสำเร็จแล้วทั้งนั้น ขณะที่เรื่องอื่นๆ สงสัยว่า ยังคุยกันไม่จบเลยมีกรณีกลับลำกันจนหัก อย่างเรื่องแก้ไขรายมาตรา คุยกันดิบดี อยู่ๆ ภูมิใจไทยไม่เอา เพื่อไทยก็ถอย ของพรรคประชาชน ( ปชน.) ก็ไม่น่าจะผ่านแล้วแบบนี้

รัฐธรรมนูญนี้ควรแก้ไขหรือไม่?  ถ้าไม่เอาเรื่องที่มาจาก คสช.เป็นประเด็น มันก็มีเรื่องควรแก้หลักๆ คือเรื่องประมวลจริยธรรมที่ของนักการเมืองควรแยกกับของศาล และมีเรื่องที่ยังไม่เห็นผลการบังคับใช้เต็มที่นัก ( ไม่รู้เพราะกฎหมายหรือองค์กรอิสระ ) คือการแจ้งแหล่งที่มาและผลที่จะได้ของโครงการที่หาเสียง อันนี้เหมือนเขียนลอยๆ เอาได้

จะแก้รัฐธรรมนูญได้หรือไม่ ในปี 68 เราคงเห็นเป็นวาระที่วนๆ ไปมา พร้อมกับอีกเรื่อง คือ นิรโทษกรรม ซึ่งร่างกฎหมายของแต่ละพรรคจ่อจะเข้าสู่ที่ประชุมสภาในสมัยประชุมที่จะถึงนี้ เนื้อหาก็คล้ายๆ กัน คือ นิรโทษกรรมความผิดที่เกิดขึ้นเพราะแรงจูงใจทางการเมืองตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่า “สุดซอย” หรือไม่

ที่น่าสนใจคือท่าทีของนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ว่า ความผิดที่เกี่ยวกับการทุจริตจะได้รับการนิรโทษหรือไม่ นายชูศักดิ์ตอบว่า “ยังไม่อยากตอบว่าเกี่ยวหรือไม่เกี่ยว เพราะจะเอาเป็นประเด็นทางการเมือง ต้องดูว่าเป็นความผิดตามบัญชีแนบท้ายหรือไม่ เรายังต้องตีความเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองให้ชัด”

เท่านี้เอง ฝั่งกองจับผิดก็หูผึ่งได้ จะกลายเป็นนิรโทษกรรมสุดซอยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ เช่นเดียวกับ “พี่แม้ว”นายทักษิณ ชินวัตร หรือไม่ เพราะการ “กลับบ้านแบบเท่ๆ รูปแบบหนึ่ง คือ “สังคมต้องยอมรับว่า เขาหรือเธอเป็นเหยื่อจากความขัดแย้งและการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง” ซึ่งก็แล้วแต่ตีความคดีจำนำข้าว

รอดูสักพัก เราอาจเจอการสื่อสารรณรงค์ว่า คดีจำนำข้าวอดีตนายกฯปูไม่ได้ผิด เพราะไม่ได้ประมาทเลินเล่อ มีการตั้งคณะกรรมการสอบทุจริตแล้ว มี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นประธาน จ่ายเงิน-ระบายข้าวไม่ได้เพราะ กปปส.ขัดขวางรูปแบบต่างๆ จะพยายามแก้ไขก็ต้องพ้นจากตำแหน่งกรณีย้ายเลขา สมช. แล้วก็ถูกยึดอำนาจก่อนได้ทำอะไร

ถ้าจะเอาอดีตนายกฯกลับมาไทยอีกคน คราวนี้เขาต้องวางแผนแบบไม่หักดิบ ออกแบบเนื้อหาสื่อสารก่อน.